10 ปี ของวิทยาเขตนครสวรรค์ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาบึงบอระเพ็ด

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่, ประชาชนในบึงบอระเพ็ด

MU-SDGs Case Study* 10 ปี ของวิทยาเขตนครสวรรค์ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาบึงบอระเพ็ด
ผู้ดำเนินการหลัก* ดร.ณพล อนุตตรังกูร
ส่วนงานหลัก* โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ดำเนินการร่วม  ผศ.นิวัต อุณฑพันธุ์
น.ส.พินณารักษ์ พันธุมาศ
นายธนากร จันหมะกสิต
นายยุทธิชัย โฮ้ไทย
ส่วนงานร่วม
เนื้อหา*

กระบวนการที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาบึงบอระเพ็ดตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เป็นการใช้การวิจัยและบริการวิชาการเป็นบทบาทหลักในการทำงาน โดยแบ่งช่วงการทำงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะการเรียนรู้ ระยะการสร้างเครือข่าย และระยะการจัดการเครือข่าย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1) ระยะที่ 1 : ระยะการเรียนรู้ (พ.ศ.2556-2557)

    ช่วงแรกเป็นศึกษาและการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานของบึงบอระเพ็ด และรวบรวมงานชื่อเรื่องวิจัยที่เคยทำการศึกษาในบึงบอระเพ็ดจำนวน 222 เรื่อง ขึ้นระบบออนไลน์ของหน่วยงาน เพื่อบริการให้กับผู้ที่สนใจในการสืบค้นข้อมูลไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ ต่อมาวิทยาเขตนครสวรรค์ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยด้านการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดอย่างยั่งยืนร่วมกับคณาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้ได้เรียนรู้ในการฝึกทักษะทางวิชาการและการลงพื้นที่จากผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ชุ่มน้ำ ส่งผลให้เข้าใจบริบทของบึงบอระเพ็ดในภาพรวมได้ ผลที่ได้ระยะที่ 1 ทำให้เวบไซด์ของวิทยาเขตนครสวรรค์เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลบึงบอระเพ็ดและฐานงานวิจัย ที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาศึกษาและค้นหาข้อมูลได้

2) ระยะที่ 2 : ระยะสร้างเครือข่าย (พ.ศ.2558-2562)

    วิทยาเขตนครสวรรค์ได้มีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนเครือข่ายที่รู้จักในระยะแรก ด้วยการสอบถามสภาพปัญหา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับชุมชนและภาครัฐในรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมทั้งการจัดประชุมวิชาการชาวบ้านเพื่อพัฒนาบทบาทของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน ทำให้หน่วยงานในระดับจังหวัดเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาจึงพาเจ้าหน้าที่วิทยาเขตนครสวรรค์ไปพบกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่ออธิบายสภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหา ต่อมาข้อสั่งการให้มหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำแผนพัฒนาบึงบอระเพ็ดเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งการทำแผนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาบนฐานของความจริง ทำให้สภาปฏิรูปแห่งชาติรับไปพิจารณาและนำเสนอให้รัฐบาลต่อไป ผลกระทบจาการงานส่งผลให้เกิดความร่วมมือและสนับสนุนการ จัดทำแผนพัฒนาบึงบอระเพ็ดของสำนักงานจังหวัดนครสวรรค์ และการจัดทำแผนพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ดของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในที่สุดรัฐบาลได้อนุมัติแผนปฏิบัติการเร่งด่วนระยะ 3 ปี จำนวน 9 โครงการ วงเงิน 1,513.5 ล้านบาท  ส่วนงานด้านการวิจัยได้มีการศึกษาในสิ่งที่เป็นช่องว่าง (Gap) ที่ต้องการหาคำตอบ ด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ศึกษาความลึกของบึงบอระเพ็ดและการชะล้างพังทลายของดินในลุ่มน้ำ และนำงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ของแต่ละหน่วยงานต่อไป ผลงานเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกภาคส่วนพูดคุยกันมากขึ้นและเป็นเครือข่ายการทำงานร่วมกัน ผลที่ได้ระยะที่ 2 ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน เนื่องจากได้มีการนำเสนอข้อมูลสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย จนได้โครงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งการวิจัยที่ใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนงานของพื้นที่ได้อีกด้วย

3) ระยะที่ 3 : ระยะการจัดการเครือข่าย (พ.ศ.2563-2565)

    เครือข่ายบึงบอระเพ็ดมีการจัดการร่วมกันในการแบ่งปันข้อมูล การวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา โดยวิทยาเขตนครสวรรค์เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายที่สนับสนุนข้อมูลวิชาการ และข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อประเมินสถานการณ์น้ำท่วม การรักษาระดับน้ำบนฐานข้อมูลวิชาการ เป็นต้น ส่วนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่สำคัญเป็นการจัดประชุมวิชาการบึงบอระเพ็ด (จัดโดยจังหวัดนครสวรรค์) โดยมีวิทยาเขตนครสวรรค์เป็นทีมเลขานุการ เพื่อเรียนรู้และทบทวนแผนพัฒนาบึงบอระเพ็ด มีแผนงานที่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล (BCG และ SDGs) ส่วนการวิจัยได้มีการร่วมกันกับภาครัฐและประชาชนเสนอโครงการวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนโครงการขับเคลื่อนนโยบายชี้นำสังคม ของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำและสร้างกติกาการใช้น้ำร่วมกัน ในการนี้เครือข่ายจะอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน เพราะบทบาทของมหาวิทยาลัยมหิดลที่เป็นปัญญาของแผ่นดิน และเป็นที่พึ่งให้กับคนในพื้นที่ ผลที่ได้ระยะที่ 3 ได้เกิดการรวบกลุ่มของคนในชุมชนจดทะเบียนองค์กรผู้ใช้น้ำจำนวน 5 ตำบล และมีระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอีกด้วย 

 
SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม* SDG6 เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก* 6.4, 6.6, 6.b
SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง SDG 12,17 เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ 12.2, 17.1
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * https://www.youtube.com/watch?v=C2VVypCijK4
 https://drive.google.com/file/d/1dQgQDgLfrf2PoxGayl_RxjVq5i01iCnl/view?usp=sharing
MU-SDGs Strategy* ยุทธศาสตร์ที่ 3
Partners/Stakeholders*

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด, ส่วนบริหารจัดการน้ำที่ 3 นครสวรรค์ (กรมทรัพยากรน้ำ), โครงการชลประทานนครสวรรค์ (กรมชลประทาน), ประมงจังหวัดนครสวรรค์ (กรมประมง),สำนักงานจังหวัดนครสวรรค์,ธนารักษ์พื้นที่นครสวรรค์ ,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่, องค์กรผู้ใช้น้ำรอบบึงบอระเพ็ด, ประชาชนในบึงบอระเพ็ด


ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message* การเป็นที่พึ่งให้กับเครือข่ายเป็นภาคกิจหลักของสถาบันการศึกษา ที่ต้องร่วมเรียนรู้ สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดเครือข่ายที่เข้มแข็ง และยั่งยืนตลอดไป
ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง 6.5.5

โครงการพัฒนาความฉลาดรู้ทางสุขภาพในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรนา 2019 และสายพันธุ์ใหม่ ของกลุ่มผู้สูงอายุ และสตรีตั้งครรภ์ ชุมชนอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

MU-SDGs Case Study*

โครงการพัฒนาความฉลาดรู้ทางสุขภาพในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรนา 2019 และสายพันธุ์ใหม่ ของกลุ่มผู้สูงอายุ และสตรีตั้งครรภ์ ชุมชนอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

ผู้ดำเนินการหลัก*

อ.ดร.กาญจนาณัฐ ทองเมืองธัญเทพ

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

อ.ยุวรีย์ อินทร์เพ็ญ
อ.ธนัญญา เณรตาก้อง
อ.เอกลักษณ์ เด็กยอง
อ.ทัตติยา ทองสุขดี
อ.นิศานาถ ทองใบ
อ.ไอศวรรยา ยอดวงษ์

ส่วนงานร่วม

1.องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์
2.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดไทรย์
3.ชมรมผู้สูงอายุตำบลวัดไทรย์
4.อสม.ตำบลวัดไทรย์

เนื้อหา*

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ที่มีความรุนแรง และเกิดสายพันธุ์ของเชื้อโรคชนิดใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และสตรีตั้งครรภ์ เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลงกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ ร่วมกับโอกาสในการติดเชื้อจากญาติหรือผู้ดูแลที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน หากมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ภายในร่างกาย มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรง อวัยวะภายในร่างกายอาจถูกทำลาย และทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน รวมถึงสูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และบางรายอาจถึงแก่ชีวิตได้ พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกต้อง อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ การรับรู้ที่ไม่ถูกต้อง การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริง และการขาดความตระหนักในการปฏิบัติ พฤติกรรรมการปฏิบัติตัวที่บ้าน ยังคงดำเนินชีวิตประจำวันแบบเดิม ๆ   

การส่งเสริมพฤติกรรม และพัฒนาความฉลาดรู้ทางสุขภาพในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายพันธุ์ใหม่ของกลุ่มผู้สูงอายุและสตรีตั้งครรภ์ ได้นั้นต้องพัฒนาทักษะ 6 ด้าน ได้แก่ 1) ทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ 2) ทักษะความรู้ ความเข้าใจข้อมูลและบริการสุขภาพที่เพียงพอต่อการปฏิบัติ 3) ทักษะการสื่อสารเพื่อให้ได้ข้อมูลและบริการสุขภาพ และสามารถนำข้อมูลไปถ่ายทอดให้บุคคลอื่นยอมรับและเข้าใจ 4) ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ ประเมินข้อมูลและบริการสุขภาพก่อนตัดสินใจเชื่อหรือปฏิบัติตาม 5) ทักษะการตัดสินใจในการเลือกข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ และ 6) ทักษะการจัดการตนเองโดยสามารถนำข้อมูลสุขภาพที่ได้มาใช้ในการปฏิบัติในการดูแลตนเอง ที่จำแนกเป็น 3 ระดับ คือ 1) ระดับพื้นฐาน 2) ระดับปฏิสัมพันธ์ และ 3) ระดับวิจารณญาณ โดยความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ชุมชน และผู้สูงอายุ การให้บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ให้ความรู้และเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์ และอสม. และการเตรียมความพร้อมผู้สูงอายุ และอสม.ในการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในการเข้าถึงข้อมูล มาเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้สูงอายุ

กิจกรรมการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรนา 2019 และสายพันธุ์ใหม่ โดยการให้ความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่ม กิจกรรมพัฒนาทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพโดยสอนการเลือกสื่อ แหล่งความรู้จากหลายช่องทาง รวมทั้งทางอินเทอร์เน็ต สอนสาธิตการใช้แอปพลิเคชั่นหมอพร้อม ให้ลงมือปฏิบัติโดยมีพี่เลี้ยง การใช้เกมส์บัตรคำ การเข้าถึงสถานบริการสุขภาพที่สามารถเข้าถึงได้สะดวก รวดเร็ว กิจกรรมพัฒนาทักษะการจัดการตนเอง และทักษะการสื่อสารโดยใช้การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) เทคนิค 1 คำถามในการจัดการตนเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม กิจกรรมพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อ วิธีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสื่อจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ กิจกรรมพัฒนาทักษะการตัดสินใจ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการเลือกใช้สื่อ กิจกรรมพัฒนาทักษะทางปัญญาและสังคมที่สูงขึ้น การสนทนาเพื่อการสะท้อนคิด (Reflecting conversation) การสร้างพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันฯ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ผลที่ได้รับคือ ทั้งผู้สูงอายุ และสตรีตั้งครรภ์มีความรู้ และความรอบรู้ทางด้านสุขภาพในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือสายพันธุ์ใหม่ สูงขึ้นกว่าก่อนการดำเนินโครงการ และมีความพึงพอใจต่อโครงการอยู่ระดับมากที่สุด จากการติดตามผลหลังการทำกิจกรรม พบว่า สามารถนำกิจกรรมที่ทำไปใช้ได้จริงถ้าอายุไม่มากกว่า 70 ปี มีการกระตุ้นความรู้และการใช้โทรศัพท์ในการค้นหาข้อมูลโดยชมรมผู้สูงอายุ และอสม.

 
 
 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs 3, 17

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.1, 3.2, 3.3

17.4.3

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

Links ข้อมูลเพิ่มเติม *

https://www.moph.go.th/

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.mor.promplus&hl=th&gl=US

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.ktb.thaichana.prod&hl=th&gl=US

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 3

Partners/Stakeholders*

องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

ประธานชมรมผู้สูงอายุตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 
 
 
 
  

Key Message*

ผู้สูงอายุ และสตรีตั้งครรภ์ ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับโรคโควิด 19 และสายพันธุ์ใหม่ สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ จะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ ก่อให้เกิดสุขภาพที่ดี

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.1.7, 3.3.1

การขับเคลื่อนบึงบอระเพ็ดด้วยระบบเครือข่าย


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

หัวข้อ รายละเอียด
ชื่อกิจกรรม/โครงการ
ชื่องานวิจัย/การสำรวจ/ผลการศึกษา
การขับเคลื่อนบึงบอระเพ็ดด้วยระบบเครือข่าย
ผู้รับผิดชอบกิจกรรม/โครงการ การขับเคลื่อนบึงบอระเพ็ดด้วยระบบเครือข่าย
ที่มาและความสำคัญ

     บึงบอระเพ็ดเป็นบึงน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ มีความสำคัญในการรักษาระบบนิเวศและการกักเก็บน้ำ ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเข้มข้นของชาวบ้านในพื้นที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันในกลุ่มอาชีพของภาคประชาชน การไม่เข้าใจกันระหว่างภาครัฐและประชาชน การดำเนินการที่ติดขัดข้อกฎหมายที่มีหลายฉบับ และอำนาจตัดสินใจอยู่ในหลายหน่วยงาน ทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการทำให้เกิดการพัฒนาและแก้ไขปัญหาบึงบอระเพ็ดอย่างยั่งยืน โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนบึงบอระเพ็ดด้วยการจัดตั้งศูนย์วิจัยและฝึกอบรมบึงบอระเพ็ด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ) มีบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ การวิจัย และการบริการวิชาการ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2554-2564) มีการขับเคลื่อนด้วยการศึกษาสภาพปัจจุบันด้วยการทบทวนเอกสาร รวบรวมข้อมูลงานวิจัย และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีการคืนข้อมูลให้กับทุกภาคส่วนทีละกลุ่ม แล้วนำตัวแทนมาคืนข้อมูลร่วมกันกับทุกกลุ่ม เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจปัญหา ยอมรับปัญหา เข้าใจสาเหตุของปัญหา และเข้าใจกันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดให้มีการประชุมวิชาการเพื่อพัฒนาบทบาทของกลุ่มและสร้างความร่วมมือ จนนำไปสู่การจัดทำแผนพัฒนาบึงบอระเพ็ดร่วมกันเพื่อเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทำให้บึงบอระเพ็ดถูกตั้งเป็นปัญหาวาระสำคัญของชาติ ซึ่งต่อมาได้มีการจัดทำแผนพัฒนาที่เป็นแผนปฏิบัติการ และการทบทวนแผนการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด สุดท้ายแล้วคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด ระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี (พ.ศ. 2563–2572) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 5,701.5 ล้านบาท ต่อมาเครือข่ายบึงบอระเพ็ดร่วมพัฒนาโครงการการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด เพื่อสร้างสมดุลระหว่างระบบนิเวศกับการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการขับเคลื่อนนโยบายชี้นำสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการพัฒนาในรูปแบบเครือข่ายแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น การประเมินสถานการณ์น้ำท่วม การจัดทำแผนที่บึงบอระเพ็ด การประชุมสัมมนาแนวทางการพัฒนาบึงบอระเพ็ด เป็นต้น

     การเกิดเครือข่ายบึงบอระเพ็ดทำให้เกิดการขับเคลื่อนที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในบึงบอระเพ็ด ทำให้แสดงให้เห็นว่าการที่ทุกภาคส่วนมีความรู้ที่ถูกต้องและเท่ากัน จะทำให้เกิดความเข้าใจและเกิดความร่วมมือกัน ซึ่งเกิดการพัฒนาและแก้ไขปัญหาบึงบอระเพ็ดที่ยั่งยืนได้

ขอบเขตพื้นที่ศึกษา บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์
วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันในบึงบอระเพ็ด

ปีที่จัดกิจกรรม/โครงการ 2554-2564
ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง 10 ปี
ระดับความร่วมมือ/ระดับความสำคัญ ชุมชน, หน่วยงาน, จังหวัด
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(รายละเอียดเพิ่มเติม)

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด

ส่วน​บริหารจัดการน้ำที่ 3 นครสวรรค์ (กรมทรัพยากรน้ำ)

โครงการชลประทานนครสวรรค์ (กรมชลประทาน)

ประมงจังหวัดนครสวรรค์ (กรมประมง)

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่

ประชาชนในบึงบอระเพ็ด

รูปแบบการดำเนินกิจกรรม การให้คำปรึกษา การร่วมปฏิบัติ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
กลุ่มเป้าหมายจากผู้ร่วมกิจกรรม

เครือข่ายบึงบอระเพ็ด (ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน)

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม 50 คน
ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อ

1.ประชาชนได้รับสิทธิในการใช้ประโยชน์เป็นไปตามข้อเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยล่าสุดได้รับสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ นว.339 (บึงบอระเพ็ด) จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 1,542 แปลง คงเหลืออีกประมาณ 5,000 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาการเช่า

2.โครงการภายใต้ข้อเสนอของ “เครือข่ายบึงบอระเพ็ด” ถูกบรรจุในส่วนหนึ่งของแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ดที่ได้รับอนุมัติดำเนินการ 10 ปี (2563-2572) ซึ่งแผนปฏิบัติการเร่งด่วนที่สามารถดำเนินการได้ทันทีระยะ 3 ปี (2563-2565) จำนวน 9 โครงการ วงเงิน 1,513.5 ล้านบาท

3.เกิดการตรวจสอบแนวเขตและเข้าครอบครองใช้ประโยชน์พื้นที่บึงบอระเพ็ดจำนวน 6,888 แปลง ทำให้ลดปัญหาการบุกรุกบึงบอระเพ็ดได้

4.การทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายบึงบอระเพ็ด สามาถลดความขัดแย้งของทุกภาคส่วน

5.ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด

Web link

https://na.mahidol.ac.th/th/2021/6650

https://na.mahidol.ac.th/bungresearch/index.php/2021-11-16-09-38-44

รูปภาพประกอบ
 
SDGs goal Goal 6 : Clean water and sanitation
Goal 16 : Peace, justice and strong institutions​
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

โครงการวิจัยผลของการให้โปรแกรมผ่านสื่อวิทยุชุมชนต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ และความรู้ด้านผู้สูงอายุในชุมชน


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

หัวข้อ รายละเอียด
ชื่อกิจกรรม/โครงการ
ชื่องานวิจัย/การสำรวจ/ผลการศึกษา
โครงการวิจัยผลของการให้โปรแกรมผ่านสื่อวิทยุชุมชนต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ และความรู้ด้านผู้สูงอายุในชุมชน
ผู้รับผิดชอบกิจกรรม/โครงการ นางสาวลัดดาวัลย์ โพธิวิจิตร , นางศศิธร มารัตน์ , นางสาวฉัตรสกุล นาคะสุทธิ์
ที่มาและความสำคัญ

การพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นผลให้ประชาชนมีสุขภาพดี อายุยืนยาวมากยิ่งขึ้นและมีอัตราการตายลดลงส่งผลให้จํานวนประชากรผู้สูงอายุมีจํานวนเพิมขึ้นทุกปี ซึ่งจากการคาดคะเนขององค์กรสหประชาชาติรายงานว่าเมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 จะมีประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกถึง 1,963 ล้านคน (United Nation 1992: อ้างใน สุรีย์ และคณะ, 2539) ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทําให้การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อมการติดต่อสื่อสารการคมนาคมที่รวดเร็ว ที่เรียกว่าโลกไร้พรมแดนและความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขทําให้โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากโรคติดเชื้อลดลง แต่โรคที่เกิดจากพฤติกรรมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งโรคที่เกิดจากพฤติกรรมสามารถป้องกันได้ด้วยการส่งเสริมสุขภาพให้ความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อให้มีเจตคติและพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของตนเอง (บรรลุ,ศิริพานิช2551: 38)

การที่มีจํานวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นจะมีผลต่อการเพิ่มภาระที่สังคมต้องรับผิดชอบในการดูแลช่วยเหลือแก่ประชากรในกลุ่มนี้ เพราะร่างกายของผู้สูงอายุจะมีสภาพความเสื่อมถอยเกิดขึ้น การทํางานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายลดลงความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงก็ลดลง ปัญหาทางด้านสุขภาพซึ่งหมายความถึงปัญหาสุขภาพทางกายและปัญหาสุขภาพทางจิตใจผู้สูงอายุเมื่อมีอายุมากขึ้นจะเผชิญกับการป่วยด้วยโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น (บรรลุ ศิริพานิช,2557) การจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุขึ้นมาเพื่อให้ผู้สูงอายุได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมสร้างแรงสนับสนุนทางจิตใจซึ่งอาจมีผลเปลี่ยนพฤติกรรมผู้สูงอายุในทิศทางที่ต้องการเช่นพฤติกรรมการป้องกันโรคส่งเสริมสุขภาพออกกำลังกาย เพื่อชะลอความเสื่อมรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม การที่ได้เป็นสมาชิกชมรมต่างๆนั้นได้แสดงถึงว่าผู้สูงอายุสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมทางสังคมได้มากมีโอกาสพบปะเพื่อนฝูงวัยเดียวกันและมองโลกกว้างขึ้น (บทความจากนิตยสาร ใกล้หมอ ปี ที่ 20 ฉบับที่ 11 โดย ดร.วิชิตคนึงเกษม)

งานผู้สูงอายุและส่งเสริมสุขภาพชุมชน ศูนย์ผู้สูงอายุเขาทองดำเนินกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงวัย   จิตสดใส ร่างกายแข็งแรงติดต่อกันมาเป็นระยะเวลา 8 ปี ผู้สูงอายุจะออกมาทำกิจกรรมร่วมกันที่ศูนย์ผู้สูงอายุเขาทองเป็นประจำทุกๆวันพุธ ซึ่งกิจกรรมที่ทำในแต่ละครั้งจะประกอบไปด้วยเรื่องของการให้ความรู้และเพิ่มทักษะต่างๆของผู้สูงอายุ ออกกำลังกาย ร่วมร้องรำทำเพลงและรับประทานอาหารร่วมกันก่อนกลับบ้าน แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) งานผู้สูงอายุฯจำเป็นต้องงดกิจกรรมดังกล่าวลง ในสถานการณ์เช่นนี้ งานผู้สูงอายุฯจะมีบทบาทอย่างไรในการลดความตึงเครียด คลายความเหงา และส่งเสริมสุขภาวะให้กับผู้สูงอายุในชุมชน สื่อชนิดใดเป็นสื่อที่เหมาะสมในการสื่อสารระหว่างงานผู้สูงอายุฯกับผู้สูงอายุในชุมชน การวิจัยครั้งนี้จึงเลือกที่จะดำเนินกิจกรรมโดยใช้สื่อที่เราคุ้นชินในชนบทที่อยู่คู่กับผู้สูงอายุนั่นคือ “วิทยุ” แทนที่จะใช้สื่อที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเช่นโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้เพราะในสังคมชนบทนั้น ผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมิเดียต่างๆได้ ด้วยข้อจำกัดที่ผู้สูงอายุไม่มีสมาร์ทโฟน แต่วิทยุ ซึ่งเป็นสื่อยุคก่อนกลับเป็นสื่อที่เข้าถึงได้จริงสำหรับผู้สูงอายุในสังคมชนบท  จากสถานการณ์ข้างต้นทําให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาผลของการให้โปรแกรมผ่านสื่อวิทยุชุมชนต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุและความรู้ด้านผู้สูงอายุในชุมชน

ขอบเขตพื้นที่ศึกษา ชุมชนที่สามารถรับคลื่นวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง FM 94.25 MHz จำนวน 5 ตำบล คือ ต.เขาทอง ต.นิคมเขาบ่อแก้ว
ต.เขากะลา ต.หนองปลิง ต.สระทะเล
วัตถุประสงค์

เพื่อศึกษาผลของการให้โปรแกรมผ่านสื่อวิทยุชุมชนในการให้ความรู้ด้านผู้สูงอายุและการออกกำลังกาย

ปีที่จัดกิจกรรม/โครงการ 2564
ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง เดือนมิถุนายน-สิงหาคม
ระดับความร่วมมือ/ระดับความสำคัญ ระดับชุมชน ระดับตำบล
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(รายละเอียดเพิ่มเติม) สถานีวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง FM 94.25 MHz
รูปแบบการดำเนินกิจกรรม การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาผลของการให้โปรแกรมผ่านสื่อวิทยุชุมชนต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุและความรู้ด้านผู้สูงอายุในชุมชนโดยใช้รูปแบบทฤษฎีลำดับขั้นของการเปลี่ยนแปลง (Stage of Change Theory) โดยศึกษาลำดับขั้นของการเปลี่ยนแปลง และแนวคิดระบบการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ของโอเร็ม (educative supportive nursing system) เป็นกรอบแนวคิดในการให้โปรแกรมผ่านสื่อวิทยุชุมชน โดยที่โอเร็มมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความต้องการในการดูแลตนเองเพื่อให้ตนเองมีภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์ร่วมกับการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นกรอบแนวคิด การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้สร้างโปรแกรมการให้ความรู้ด้านผู้สูงอายุและการออกกำลังกาย บนแนวคิดที่ว่าผู้ฟังวิทยุชุมชนFM 94.25 MHz. สามารถเรียนรู้พัฒนาพฤติกรรมการดูแลตนเองที่เหมาะสมได้ หากมีความรู้และได้รับการสนับสนุนจากการให้สุขศึกษาผ่านการจัดรายการวิทยุ ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้ทฤษฎีด้านผู้สูงอายุ
การดูแลตนเอง การป้องกันโรคแทรกซ้อน การรับประทานยา และการออกกำลังกาย 2) การสนับสนุนทั้งด้านร่างกายจิตใจ เพื่อพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเอง 3) การชี้แนะ การให้ข้อมูลป้อนกลับในการเรียนรู้ การให้ทางเลือกในการดูแลตนเอง 3)  การปฏิบัติจริง นำออกกำลังกายผ่านการออกอากาศทางวิทยุชุมชน เปิดช่วงถามตอบข้อสงสัยด้านสุขภาพเพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกันผ่านวิทยุชุมชน
กลุ่มเป้าหมายจากผู้ร่วมกิจกรรม

ผู้ที่ฟังวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง FM 94.25 MHz จำนวน 5 ตำบล คือ ต.เขาทอง ต.นิคมเขาบ่อแก้ว ต.เขากะลา ต.หนองปลิง ต.สระทะเล  โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตำบลละ 5 คน

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม 20 คน
ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อ

ประชาชนที่ฟังรายการเสียงสร้างสุข(ภาพ)ผ่านวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง FM 94.25 MHz มีความความรู้ ความเข้าใจ
ในด้านผู้สูงอายุ สามารถนำความรู้ด้านผู้สูงอายุไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตนเองได้ โดยยอมรับและเข้าใจใน
ความต่างวัย มองเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้สูงอายุในบ้าน มีความเอาใจใส่ดูแลผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้นและเกิดความผูกพันธ์กันในครอบครัว และผู้สูงอายุมีความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  การป้องกันและการปฏิบัติตัวจากโรคภัยต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ มองเห็นคุณค่าของตนเอง และการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
จะสามารถนำท่าการออกกำลังกายไปฝึกใช้ให้เหมาะสมกับตนเองได้ทั้งผู้สูงอายุและประชาชนที่ฟังวิทยุชุมชนรายการเสียงสร้างสุข(ภาพ) เพื่อชะลอความเสื่อมของร่างกายในวัยผู้สูงอายุ

Web link
รูปภาพประกอบ
SDGs goal Goal 3 : Good health and well being
Goal 4 : Quality education
Goal 12 : Responsible consumption and production​
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

Effects of soil amendments on leaf anatomical characteristics of marigolds cultivated in cadmium-spiked soils


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Subjects Details

Research Project/

Project/Activities/Events

Effects of soil amendments on leaf anatomical characteristics of marigolds cultivated in cadmium-spiked soils
Project managers

1.Associate Professor Dr. Weeradej Meeinkuirt

2.Ms. Alapha Thongchai

3.Dr. Puntaree Taeprayoon

4.Assistant Professor Dr. Isma-ae Chelong

Statement problems

The zinc (Zn) mining industry and its operations in cadmium (Cd) and Zn co-contaminated agricultural areas have long been recognized as a major source of Cd and Zn pollution in the Mae Tao River basin, Mae Sot district of Tak Province, Thailand. For more than 30 years, people in those areas have been affected by Cd pollution released from polluted agricultural soils, causing renal and bone disorders, and eventually cancer. Local villagers or farmers continue to cultivate rice and other crop plants in such polluted areas in order to earn money for their livelihood and other beneficial lives. As a result, the Thai government and local authorities advised local people and farmers to stop growing crop plants on polluted soils. Phytomanagement is a subset of “phytoremediation,” which involves using green plants to remove heavy metals from polluted soils and streams; nonetheless, the ultimate objective is to employ plants for purposes other than biota consumption. Plants are used in phytomanagement technology for a variety of purposes, including energy, furniture, and architectural adornment etc. Marigold cultivars have been cultivated in Mae Tao River Basin areas, which are also known as agriculturally polluted areas, since they have been reported to serve as flowering ornamental plants that are cut for sale to assist communities generate income. High levels of Cd and Zn, on the other hand, may have an impact on marigold growth and flowering. Soil amendments will be used to improve soil properties, plant growth, and productivity, according to the research hypothesis. Many organic amendments, in particular, can diminish heavy metal mobility in soil and water, which may assist lower heavy metal bioavailability. The success of phytomanagement technology, on the other hand, should begin with plant selection, which should include consideration of water and soil management.

Area of Studies/ Area of Activities Greenhouse experiments and laboratory-based investigations to determine heavy metal concentration in marigold plant tissues
Objectives

1.To determine the effects of soil amendments on plant growth performances, cadmium and zinc uptake and accumulation, and anatomical modifications in leaves of four marigold cultivars (Tagetes erecta L. e.g., Honey, American and Sunshine and T. patula L. e.g., French) grown in greenhouse

2.To determine phytoremediation potential of the four marigold cultivars (Tagetes erecta L. e.g., Honey, American and Sunshine and T. patula L. e.g., French)

Years 2020
Project/Activity Duration June 1, 2020 – March 30, 2021
Levels of Collaboration University level
Collaborative organization Yala Rajabhat University

Project approaches/

Activity approaches

1.Greenhouse study

2.Laboratory works

Target groups

Numbers of Participants
Outputs/Outcomes

1.To develop a high potential plant for phytoremediation that can be used to remove cadmium and zinc from contaminated soil

2.Instead of edible crop plants, the flower cut from marigolds will be used as a commercial product to generate income for communities in the Mae Tao River Basin, Tak Province.

3.To develop a fertilizer or soil amendment that can be used in agricultural areas as a novel product

Web link https://doi.org/10.1038/s41598-021-95467-9
Pictures/Images
 
SDGs goals Goal 3 : Good health and well being
Goal 15 : Life on land
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

การมีส่วนร่วมในการเตรียมการจัดสัมมนาวิชาการแนวทางการพัฒนาบึงบอระเพ็ด


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

หัวข้อ รายละเอียด
ชื่อกิจกรรม/โครงการ
ชื่องานวิจัย/การสำรวจ/ผลการศึกษา
การมีส่วนร่วมในการเตรียมการจัดสัมมนาวิชาการแนวทางการพัฒนาบึงบอระเพ็ด
ผู้รับผิดชอบกิจกรรม/โครงการ ดร.ณพล อนุตตรังกูร
ที่มาและความสำคัญ จังหวัดนครสวรรค์ มีแนวคิดในการดำเนินการจัดกิจกรรมสัมมนาวิชาการ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนา (Road map) ของบึงบอระเพ็ด ทำให้มีการจัดประชุมเตรียมความพร้อม และวางแผนการทำงานร่วมกันระหว่างจังหวัดนครสวรรค์ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประชุมหารือร่วมกันถึงรูปแบบการจัดงานที่เหมาะสมต่อไป
ขอบเขตพื้นที่ศึกษา บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
วัตถุประสงค์

การจัดสัมมนาวิชาการเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาบึงบอระเพ็ด

ปีที่จัดกิจกรรม/โครงการ 2564
ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง 3 – 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2564
ระดับความร่วมมือ/ระดับความสำคัญ จังหวัดนครสวรรค์
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(รายละเอียดเพิ่มเติม) หน่วยงานภาครัฐในนครสวรรค์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร
รูปแบบการดำเนินกิจกรรม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการร่วมดำเนินการ
กลุ่มเป้าหมายจากผู้ร่วมกิจกรรม

นักวิชาการ หน่วยงานราชการ ประชาชนในบึงบอระเพ็ด และผู้ที่สนใจทั่วไป

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม 100 คน
ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อ

การให้คำปรึกษา และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้นำไปสู่การกำหนดพื้นที่ศึกษาที่ครอบคลุมแหล่งกำเนิดมลพิษบริเวณตอนกลางและตอนล่างของลุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด

Web link
รูปภาพประกอบ
SDGs goal Goal 13 : Climate action​
Goal 15 : Life on land
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

การบริการวิชาการให้คำปรึกษาข้อมูลบึงบอระเพ็ด


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

หัวข้อ รายละเอียด
ชื่อกิจกรรม/โครงการ
ชื่องานวิจัย/การสำรวจ/ผลการศึกษา
การบริการวิชาการให้คำปรึกษาข้อมูลบึงบอระเพ็ด
ผู้รับผิดชอบกิจกรรม/โครงการ ดร.ณพล อนุตตรังกูร
ที่มาและความสำคัญ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 4 นครสวรรค์ มีแผนการดำเนินโครงการในพื้นที่บึงบอระเพ็ด ที่ต้องสำรวจข้อมูลพื้นฐานของแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ ดังนั้นการเตรียมพร้อมในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลและกำหนดขอบเขตพื้นที่ศึกษาที่ครอบคลุมแหล่งกำเนิดมลพิษทั้งหมด ทำให้เป็นที่มาในการปรึกษาหารือและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้การดำเนินโครงการสำเร็จไปด้วยดีต่อไป
ขอบเขตพื้นที่ศึกษา ลุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
วัตถุประสงค์

1.การให้คำปรึกษาข้อมูลบึงบอระเพ็ด

2.เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนการจัดการป่าชุมชน

3.ให้คำแนะนำปรึกษาและความช่วยเหลือต่างๆต่อคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน

4.ควบคุม ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการป่าชุมชน

ปีที่จัดกิจกรรม/โครงการ 2564
ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2564
ระดับความร่วมมือ/ระดับความสำคัญ หน่วยงาน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(รายละเอียดเพิ่มเติม) สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 4 นครสวรรค์
รูปแบบการดำเนินกิจกรรม การให้คำปรึกษา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
กลุ่มเป้าหมายจากผู้ร่วมกิจกรรม

บุคลากรสังกัดสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 4 นครสวรรค์

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม 4 คน
ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อ

การให้คำปรึกษา และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้นำไปสู่การกำหนดพื้นที่ศึกษาที่ครอบคลุมแหล่งกำเนิดมลพิษบริเวณตอนกลางและตอนล่างของลุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด

Web link
รูปภาพประกอบ
SDG goal Goal 13 : Climate action​
Goal 15 : Life on land
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

โครงการวิจัยบทบาทของครอบครัวต่อการใช้สมาร์ทดีไวซ์ของเด็กปฐมวัย


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

หัวข้อ รายละเอียด
ชื่อกิจกรรม/โครงการ
ชื่องานวิจัย/การสำรวจ/ผลการศึกษา
โครงการวิจัยบทบาทของครอบครัวต่อการใช้สมาร์ทดีไวซ์ของเด็กปฐมวัย
ผู้รับผิดชอบกิจกรรม/โครงการ ผศ.ดร.สุภาภรณ์ คำเรืองฤทธิ์
ที่มาและความสำคัญ

ข้อมูลองค์การสหประชาชาติที่คาดประมาณจำนวนการเกิดในแต่ละปีว่าจะมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเหลือน้อยกว่า 500,000 รายต่อปีในช่วงปี พ.ศ. 2588-2593 (กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ, 2559: ออนไลน์) และจากการสำรวจพัฒนาการของเด็กไทยในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา พบข้อมูลที่น่าสนใจว่าเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะเด็กอายุ 3-5 ปี ที่ส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์เด็กเล็กยังมีพัฒนาการล่าช้าทางด้านภาษา ซึ่งมีผลทำให้เด็กเมื่อเข้าเรียนแล้วอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ได้ รวมไปถึงคิดไม่เป็น (กระทรวงสาธารณสุข, 2559) นอกจากนี้ข้อมูลของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว (2559: ออนไลน์) ยังพบว่าในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ประมาณร้อยละ 30 หรือ 1 ใน 3 ของเด็กปฐมวัย (0-5 ปี) ในประเทศไทยมีพัฒนาการล่าช้า ซึ่งมีสาเหตุมาจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1) ขาดภาวะโภชนาการที่ดีและมีคุณค่า โดยเฉพาะการไม่เห็นความสำคัญของอาหารเช้าและเกลือแร่ที่มีผลต่อสมอง 2) ปัจจัยการเลี้ยงดูหรือคนเลี้ยงมีปัญหา และ 3) การใช้สื่อโทรทัศน์หรือสมาร์ทโฟนกับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และครอบครัวในสังคมไทยเองต่างมีสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอยู่ในครอบครองกันมากขึ้น โดยครัวเรือนไทยที่มีสมาร์ทโฟนอยู่ในครอบครัวมากถึงร้อยละ 68.2 และมีแท็บเล็ตคิดเป็นร้อยละ 24.6 (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2559) ทำให้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันกับเด็กจนกลายเป็นเรื่องปกติ เด็กในยุคนี้จึงเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างสะดวกจากการเล่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของพ่อแม่หรือของตนเองที่พ่อแม่ซื้อให้

ผลจากการวิจัยของสหรัฐอเมริกาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กชี้ว่า พ่อแม่ยังไม่ควรให้เด็กปฐมวัยเล่นสมาร์ทโฟนและหรือแท็บเล็ต เพราะในช่วงเด็กทารกถึงวัย 2 ขวบ สมองของเด็กมีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว และสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกระตุ้นการพัฒนาของสมอง หากเด็กใกล้ชิดกับเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตหรือโทรทัศน์ อุปกรณ์ดังกล่าวจะชะลอการเติบโตของสมองรวมถึงทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น เพราะควบคุมตัวเองได้น้อยลง (Cris Rowan, 2015) ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (2559: ออนไลน์) ที่สะท้อนแนวคิดไว้ว่าในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ยังไม่มีงานวิจัยใดรองรับว่าการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจะมีประโยชน์ในเด็กกลุ่มนี้ ดังนั้นการใช้สื่อเหล่านี้สำหรับเด็กปฐมวัยจึงควรอยู่ในการกำกับดูแลของพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรควบคุมระยะเวลาที่เด็กใช้ และมีการพูดคุยหรือเล่นกับเด็กขณะที่กำลังเล่นอุปกรณ์ดังกล่าว

จากการทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมาในประเทศไทยยังไม่พบงานวิจัยที่ทำการศึกษาการใช้สมาร์ทดีไวซ์ในเด็กปฐมวัยโดยตรง ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจึงสนใจว่า จะมีแนวทางใดบ้างที่จะส่งเสริมให้ครอบครัวเด็กปฐมวัยรู้เท่าทันสมาร์ทดีไวซ์และใช้สมาร์ทดีไวซ์เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาของครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในการศึกษาครั้งนี้จะทำการศึกษาในเขตพื้นสุขภาพที่ 3 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร และทำการศึกษากับเด็กปฐมวัยอายุ 0-5 ปี

ขอบเขตพื้นที่ศึกษา เขตสุขภาพที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร
วัตถุประสงค์

มีวัตถุประสงค์หลักข้อที่ 2 ของงานวิจัยคือ ค้นหาแนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม และพัฒนาเป็นคู่มือจัดการปัญหาเด็กปฐมวัยติดสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

ปีที่จัดกิจกรรม/โครงการ 2562-2564
ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง

ระหว่างธันวาคม 2562 – มีนาคม 2563 จัดทำการวิจัยเชิงคุณภาพ

ระหว่างมกราคม – พฤษภาคม 2564 จัดทำงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ

ระดับความร่วมมือ/ระดับความสำคัญ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(รายละเอียดเพิ่มเติม)

– ศูนย์อนามัยที่ 3 จ.นครสวรรค์

– โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์

– สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

– คลินิกกิจกรรมบำบัดนครสวรรค์ บ้านครูมด คลินิกส่งเสริมพัฒนาการเด็ก

– มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก

– คลินิกเด็ก หมอธนาธรณ์

– โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต

– Rose Marie Academy School

– โรงเรียนระดับอนุบาลและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในเขตสุขภาพที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี พิจิตร และกำแพงเพชร จำนวน 30 แห่ง

รูปแบบการดำเนินกิจกรรม

ระหว่างธันวาคม 2562 – มีนาคม 2563 คณะวิจัยทำการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม กับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กุมารแพทย์ นักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาการติดเกม ติดสมาร์ทโฟนในเด็กและวัยรุ่น รวมถึงนักวิชาการที่ทำงานด้านเด็กปฐมวัย นักเขียนหนังสือเด็ก และครูปฐมวัย จำนวน 11 คน และผู้ปกครองเด็กปฐมวัยในเขตสุขภาพที่ 3 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร จำนวน 34 คน ซึ่งผลการศึกษาทำให้ได้ข้อสรุปของ “ร่างแนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม” โดยผู้วิจัยนำเสนอไว้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลสรุปสาระสำคัญ และสรุปประเด็นสำคัญด้วยอินโฟกราฟิก และคู่มือจัดการปัญหาเด็กปฐมวัยติดสมาร์ทโฟน

 

ระหว่างมกราคม – พฤษภาคม 2564 เป็นรูปแบบงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยเป็นการต่อยอดจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ที่ได้แนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสมมาแล้ว ในระยะนี้จะทำการทดสอบว่าแนวทางที่ออกแบบไว้สามารถปฏิบัติได้จริงและสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ อาสาสมัครที่เข้าร่วมงานวิจัยเชิงปฏิบัติการจะเป็นผู้ปกครองที่ลูกติดสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่นักวิจัยพบในงานวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 30 ครอบครัวใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร โดยแบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยออกเป็น 2 กลุ่มตามความยินยอมของอาสาสมัคร ได้เป็น กลุ่มทดลอง 17 ครอบครัว กลุ่มควบคุม 13 ครอบครัว กลุ่มทดลองนำแนวทางและเครื่องมือที่โครงการออกแบบไว้ไปทดลองใช้เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยระหว่าง 3 เดือนนี้จะมีนักวิจัยที่เป็นพยาบาลคอยให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แล้ววัดผลการเปลี่ยนแปลงว่าเด็กลดการใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บลงอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ โดยระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 30 นาทีต่อวัน สำหรับกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการกระตุ้นใดๆ อย่างไรก็ดีโครงการวิจัยเก็บข้อมูลของกลุ่มควบคุมไว้เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง

 

แนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม ในกลุ่มทดลองระหว่าง 3 เดือน

เมื่อทำการทดลองแล้วเสร็จ ผลของค่าเฉลี่ยของระยะเวลาการใช้สมาร์ทดีไวซ์เฉลี่ยต่อวัน ของเด็กที่เป็นอาสาสมัครในการทดลองเชิงปฏิบัติการ (n=29) มีดังนี้

กลุ่มเป้าหมายจากผู้ร่วมกิจกรรม

1) กลุ่มที่ให้ข้อมูลในงานวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อการออกแบบ “ร่างแนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม”

– จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กุมารแพทย์ นักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาการติดเกม ติดสมาร์ทโฟนในเด็กและวัยรุ่น รวมถึงนักวิชาการที่ทำงานด้านเด็กปฐมวัย นักเขียนหนังสือเด็ก และครูปฐมวัย จำนวน 11 คน

– ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยในเขตสุขภาพที่ 3 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร จำนวน 34

2) อาสาสมัครที่เข้าร่วมงานวิจัยเชิงปฏิบัติการจะเป็นผู้ปกครองที่ลูกติดสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่นักวิจัยพบในงานวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 30 ครอบครัวใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร โดยแบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยออกเป็น 2 กลุ่มตามความยินยอมของอาสาสมัคร ได้เป็น กลุ่มทดลอง 17 ครอบครัว กลุ่มควบคุม 13 ครอบครัว

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม – ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยในเขตสุขภาพที่ 3 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และกำแพงเพชร จำนวน 34
ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อ

รายการสื่อของโครงการที่เผยแพร่ผลงานวิจัยที่เข้าใจง่าย น่าสนใจ ใช้เวลาสั้น กระชับ

VDO1:
แนะนำโครงการ “บทบาทของครอบครัวต่อการใช้สมาร์ทดีไวซ์ของเด็กปฐมวัย”
VDO2:
ปัญหาเด็กเล็กติดสมาร์ทโฟน

VDO3:

แนะนำวิธีแก้ปัญหาเด็กเล็กติดสมาร์ทโฟน

VDO4:

เล่าประสบการณ์ลดเวลาเล่นมือถือลูกสาววัย 3 ขวบ

VDO5:

แชร์ประสบการณ์แก้ปัญหาลูกวัย 4 ขวบติดแท็บเล็ต

VDO6:

ลดเวลาเล่นมือถือของหลานชายจากเล่นทั้งวัน เหลือ 1-2 ชม.

Poster:

ร่างแนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยให้ได้อย่างเหมาะสม

Infographic:

สถานการณ์การใช้สมาร์ทดีไวซ์ของเด็กไทยอายุ 2-5 ปี

Infographic:

วิธีการแก้ปัญหาเด็กติดสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

คู่มือ:

จัดการปัญหาเด็กปฐมวัยติดสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะเป็นการช่วยยืนยันแนวทางในการปฏิบัติที่ได้จากการค้นหาคำตอบในงานวิจัยเชิงคุณภาพ ว่าสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อครอบครัวเด็กปฐมวัย ที่จะมีแนวทางการส่งเสริมให้ครอบครัวไทยใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาเด็กปฐมวัยติดสมาร์ทดีไวซ์ที่ครอบครัวสามารถปฏิบัติได้จริง

Web link https://sites.google.com/view/skur/โครงการวจย/การใชสมารทดไวซในเดก?authuser=0
รูปภาพประกอบ
SDGs goal Goal 3 : Good health and well being
Goal 4 : Quality education
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

โครงการการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

หัวข้อ รายละเอียด
ชื่อกิจกรรม/โครงการ
ชื่องานวิจัย/การสำรวจ/ผลการศึกษา
โครงการการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด
ผู้รับผิดชอบกิจกรรม/โครงการ ดร.ณพล อนุตตรังกูร
ที่มาและความสำคัญ

   “บึงบอระเพ็ด” เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และเป็นบึงน้ำจืดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทางด้านพรรณพืช สัตว์น้ำ และสัตว์ป่า โดยบึงบอระเพ็ดเป็นบึงที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ โดยพระบรมราชานุญาตของรัชกาลที่ ๗ ให้ดำเนินการก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำ ซึ่งก่อนมีการก่อสร้างฝายเพื่อสร้างบึงมีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่บึงอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ชาวบ้านได้อพยพขึ้นมาอยู่บริเวณขอบบึง ต่อมามีการบุกรุกพื้นที่เข้ามาใช้ประโยชน์หลายด้าน ทำให้บึงบอระเพ็ดมีสารพันปัญหาที่ซ้อนทับซับซ้อนหลายด้าน สืบเนื่องจากบึงบอระเพ็ดเป็นที่ราชพัสดุที่กรมประมงขอใช้พื้นที่เพื่อบำรุงพันธุ์สัตว์น้ำในปี 2469 จำนวน 132,737 ไร่ 56 ตารางวา ครอบคลุ่มพื้นที่ใน 7 ตำบล ได้แก่ ตำบลแควใหญ่ ตำบลเกรียงไกร ตำบลหนองปลิง ตำบลทับกฤช ตำบลพนมเศษ ตำบลวังมหากร และตำบลพระนอน ต่อมาได้มีการประกาศเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ดในพื้นที่ในปี 2518 จำนวน 66,250 ไร่ ทำให้มีกฎหมายที่ใช้ซ้อนทับกันถึง 3 ฉบับ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 13 หน่วยงาน และนอกจากนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ในเขตบึงบอระเพ็ดจำนวน 5,684 ครัวเรือน

การใช้น้ำในบึงบอระเพ็ด พบการใช้ประโยชน์ในการทำประมง การดึงน้ำไปใช้ทำการเกษตรกรรม การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การท่องเที่ยว รวมถึงน้ำอุปโภคบริโภค แต่เนื่องจากสภาพบึงบอระเพ็ดมีสภาพคล้ายจานข้าวทำให้เก็บน้ำไว้ได้ไม่มาก ทำให้มีการแย่งใช้ทรัพยากรกันอย่างเข้มข้นจนเกิดข้อพิพาทระหว่างกลุ่มต่างอาชีพและกลุ่มอาชีพเดียวกัน ช่วงฤดูแล้งบางปีจะมีน้ำดิบไม่เพียงพอสำหรับการทำประปาหมู่บ้าน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งระบบสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมด้วย ซึ่งปัญหาการใช้น้ำและการแย่งน้ำที่เกิดขึ้นหากไม่มีการแก้ไขปัญหาจะส่งผลทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท การขาดความสามัคคีในชุมชน และระบบสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงจนสู่ขั้นวิกฤติได้

    ในการนี้ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการที่มียุทธศาสตร์ในการเป็นที่พึ่งทางด้านสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นอย่างเข้มแข็งของโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มีการพัฒนาโจทย์ของโครงการร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ ตัวแทนประชาชนในพื้นที่ และได้รับการ “เห็นชอบและรับทราบ” จากการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 เพื่อนำไปสู่การสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และนำไปสู่การผลักดันการนำผลที่ได้สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ต่อไป

ขอบเขตพื้นที่ศึกษา พื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด
วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ปีที่จัดกิจกรรม/โครงการ 2564-2565
ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง กันยายน 2564 – กันยายน 2565
ระดับความร่วมมือ/ระดับความสำคัญ ชุมชน,จังหวัด
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(รายละเอียดเพิ่มเติม)

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่บึงบอระเพ็ด

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด

ประมงจังหวัดนครสวรรค์

ธนารักษ์พื้นที่นครสวรรค์

โครงการชลประทานนครสวรรค์

ส่วนบริหารจัดการน้ำที่ 3 กรมทรัพยากรน้ำ

รูปแบบการดำเนินกิจกรรม การมีส่วนร่วม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
กลุ่มเป้าหมายจากผู้ร่วมกิจกรรม

ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในบึงบอระเพ็ด ได้แก่ ภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม 200 คน
ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อ

– เกิดการจัดสรรน้ำให้กับทุกกิจกรรมอย่างเท่าเทียม เกิดความสมดุลกันระหว่างการรักษาระบบนิเวศกับการใช้ประโยชน์ของมนุษย์

– ทุกภาคส่วนเกิดความเข้าใจ เห็นความสำคัญ จนเกิดการยอมรับ และนำไปสู่การปฏิบัติได้

– การผลักดันสู่นโยบายด้วย “คณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด” สามารถนำข้อสรุปของโครงการไปเป็นแนวทางการใช้น้ำในบึงบอระเพ็ดในแต่ละพื้นที่ (เขตให้ ห้าม หวง)

– ระบบการบริหารจัดการน้ำในบึงบอระเพ็ดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกับบึงบอระเพ็ด

Web link https://www.youtube.com/watch?reload=9&v=IoZEzOyuze4
รูปภาพประกอบ
     
SDG goal Goal 6 : Clean water and sanitation
Goal 13 : Climate action​
Goal 14 : Life below water​
Goal 15 : Life on land
Goal 17 : Partnerships for the goals

 

Heavy metal accumulation and copper localization in Scopelophila cataractae in Thailand


Warning: sort() expects at least 1 parameter, 0 given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 77

Warning: Use of undefined constant console - assumed 'console' (this will throw an Error in a future version of PHP) in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Warning: log() expects parameter 1 to be float, string given in /var/www/html/na/sdgs/wp-content/themes/wp-bootstrap-starter-child-master/functions.php on line 78

Subjects Details

Research Project/

Project/Activities/Events

Heavy metal accumulation and copper localization in Scopelophila cataractae in Thailand
Project managers

1.Associate Professor Dr. Weeradej Meeinkuirt

2.Dr. Narin Printarakul

Statement problems Plant biodiversity is critical for understanding the ecosystem’s and environment’s status. Thailand is located in the tropic zone, which has a diverse range of biota. Bryophyte taxa are used as a crucial bioindicator in the forest, meaning they can show the impacts of pollution in many media such as air, soil, and water. However, there is a scarcity of knowledge about bryophyte biology and diversity in Thailand’s diverse settings. This could be due to a scarcity of bryophyte taxonomists. Scopelophila cataractae, or so-called rare copper (Cu) moss, is an endangered and rare bryophyte taxon that is also a hyperaccumulator for Cu since this moss species accumulate substantial Cu concentration in gametophyte tissue. This moss species, which grows on the trunks of Mastixia euonymoides, has only been found once in the Doi-Intanon National Park, at a height of around 1700 meters. S. cataractae was recently identified in a waterfall ecosystem in Doi Suthep-Pui National Park, Thailand, marking the first investigation in this area. This moss species can assist assess the pollution situation in the stream outflow area, which is currently surrounded by anthropogenic activity. Many more bryophyte species need to be investigated since they can provide a more exact and accurate assessment of anthropogenic contamination in the study site. Chemical profiles, such as heavy metal concentrations in bryophyte tissues and substrates, must be assessed to some extent since they serve as a baseline data for bryophytes in waterfall ecosystems that are altered by anthropogenic activity.
Area of Studies/ Area of Activities Field survey in Doi Suthep-Pui National Park, as well as laboratory-based investigations to determine heavy metal concentration and localization in plant cells
Objectives

1.To identify bryophyte taxa in a waterfall ecosystem

2.To determine heavy metal concentrations in bryophyte tissues and substrates

3.To study the relationship between bryophyte community and environmental factors

Years 2020
Project/Activity Duration June 1, 2018 – June 30, 2020
Levels of Collaboration University and government agency level
Collaborative organization

Chiang Mai University

Department of National Parks, Wildlife and Plant Conservation of Thailand

Project approaches/

Activity approaches

1.Field surveys

2.Laboratory works

Target groups
Numbers of Participants
Outputs/Outcomes

1.The goal of this study is to acquire the first report on a bryophyte community in a waterfall ecosystem in Chiang Mai, Thailand’s Doi Suthep-Pui National Park

2.To obtain a bryophyte taxon that may be used as a bioindicator to assess pollution caused by anthropogenic activities in the National Park

3.To restore and safeguard the endangered and rare bryophyte taxon in the National Park

Web link https://doi.org/10.1007/s00128-021-03246-z
Pictures/Images
SDGs goals Goal 9 : Industry, innovation and infrastructure
Goal 13 : Climate action​
Goal 14 : Life below water​
Goal 15 : Life on land
Goal 17 : Partnerships for the goals