กิจกรรมลดการเผาและบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อป้องกันปัญหามลพิษทางอากาศและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเกษตรกรที่ยั่งยืน

MU-SDGs Case Study*

กิจกรรมลดการเผาและบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อป้องกันปัญหามลพิษทางอากาศและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเกษตรกรที่ยั่งยืน

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร
2. นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานหลัก

1. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
2. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ
3. สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 (นครสวรรค์)

ผู้ดำเนินการร่วม

นายศรีจันทร์ กันทะ
ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.ทับกฤช
อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์

ส่วนงานร่วม

 

เนื้อหา*

การเผาฟางข้าวและเศษวัสดุการเกษตรเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือตอนล่างและลุ่มน้ำเจ้าพระยา การเผาส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ (PM 2.5) สูญเสียอินทรียวัตถุในดิน และกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 จัดเวิร์กชอป “การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ บ้านหนองไกร ต.ทับกฤช อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ โดยมีเกษตรกรและผู้นำชุมชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

 

กิจกรรมที่ดำเนินการ

• ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดการเศษฟางและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน

• แนะนำเทคนิคการลดการเผาและการใช้เศษวัสดุเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน

• ตั้งเป้าหมายและแผนพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรเพื่อการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

• เรียนรู้จาก แปลงต้นแบบของนายศรีจันทร์ กันทะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ที่นำแนวปฏิบัติจริงมาประยุกต์ใช้

 

ผลลัพธ์และประโยชน์

• เกษตรกรมีความรู้ในการจัดการเศษวัสดุโดยไม่ต้องพึ่งการเผา ลดปัญหามลพิษทางอากาศ

• เสริมสร้างเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบเพื่อขยายผลในชุมชนอื่น

• ยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ และเพิ่มความยั่งยืนของการผลิตข้าว

• เป็นเวทีเชื่อมโยงมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนท้องถิ่น

 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

13.2

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs12,15,3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

12.4, 12.5, 15.1, 3.9
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
https://www.facebook.com/share/p/1b3zZHxFEq/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,3

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 (นครสวรรค์)
3. ผู้นำชุมชนและเครือข่ายเกษตรกรบ้านหนองไกร ต.ทับกฤช

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“ลดการเผา เพิ่มคุณภาพดิน ร่วมสร้างอากาศสะอาด”
“เวิร์กชอปเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่ชุมชนยั่งยืน”
“มหิดลจับมือหน่วยงานรัฐและเกษตรกร แก้ปัญหามลพิษอย่างเป็นรูปธรรม”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

13.2.1, 12.4.1, 12.5.1, 15.1.1, 3.9.1

ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชน: ไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น

MU-SDGs Case Study*

ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชน: ไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. นายธนากร จันหมะกสิต
2. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร

ส่วนงานหลัก

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล
1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ
2. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

ผู้ดำเนินการร่วม

1. นางสาวอทิตยา เยาว์พฤกษ์ชัย
2. นางจุฑามาส กลิ่นเกล้า
3. นางมธุรส หุ่นหล่อ

ส่วนงานร่วม

1. สำนักงานเกษตรจังหวัดอุทัยธานี กรมส่งเสริมการเกษตร
2. กลุ่มเกษตรกรหอมสะแกกรัง จ.อุทัยธานี

เนื้อหา*

ส้มซ่า (Citrus aurantium) เป็นผลไม้พื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานี แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีรสชาติขมจากน้ำมันหอมระเหยในเปลือก และผลผลิตมักถูกจำกัดด้วยฤดูกาล โครงการนี้จึงมุ่งพัฒนานวัตกรรม “ไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตท้องถิ่น และยกระดับไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์

ขั้นตอนดำเนินการ
• ศึกษาวิธีการสกัดน้ำส้มซ่าโดยไม่ให้มีน้ำมันหอมระเหยปนเปื้อน
• พัฒนาสูตรไซรัป 2 สูตร และปรับปรุงจนได้ 3 สูตรต้นแบบ
• ทดสอบทางประสาทสัมผัสกับผู้บริโภค 107 คน เลือกสูตรที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
• ปรับปรุงเพิ่มเติมจนได้ สูตรสมบูรณ์ พร้อมยื่นขอเลข อย. และฉลากโภชนาการ
• ออกแบบบรรจุภัณฑ์และฉลากเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาด
• ทดลองต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น เครื่องดื่ม กาแฟ เบเกอรี่ หมี่กรอบ และน้ำสลัด

ผลลัพธ์และประโยชน์
• ได้ผลิตภัณฑ์ ไซรัปส้มซ่าเข้มข้น ที่พร้อมสู่ตลาด
• เป็นตัวอย่างการสร้างนวัตกรรมจากภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่น
• สร้างรายได้เสริมและแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกร/ผู้ประกอบการท้องถิ่น
• เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากกับการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Startup/SME)
• ตอบโจทย์เศรษฐกิจ BCG และเป้าหมาย SDGs ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs12

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

12.2, 12.4, 12.5

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs8,9,3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

8.3, 9.5, 3.4
Links ข้อมูลเพิ่มเติม *  
https://www.facebook.com/share/p/1CTBShmogU/

https://www.facebook.com/share/p/1B9vjdpxiJ/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,4

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. เกษตรกรผู้ปลูกส้มซ่าในจังหวัดอุทัยธานี
3. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่น เช่น สำนักงานเกษตร, ภาคธุรกิจ SME

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“จากผลไม้พื้นถิ่นสู่นวัตกรรมไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น”
“ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนด้วยพลังงานวิจัยและผู้ประกอบการ”
“สินค้านวัตกรรม BCG ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

12.2.1, 12.4.1, 12.5.1, 8.3.1, 9.5.1

การพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่สู่มาตรฐาน GFM: ยกระดับคุณภาพไข่และระบบการผลิตสู่ความยั่งยืน

MU-SDGs Case Study*

การพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่สู่มาตรฐาน GFM: ยกระดับคุณภาพไข่และระบบการผลิตสู่ความยั่งยืน

ผู้ดำเนินการหลัก*

นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานหลัก

ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

1. นายสันติ สะสีแสง
2. นายสาธิต จันทร์เขียว
3. นายสุชาติ แท่นกระโทก
4. นางรัชนี คุ้มบัว
5. นางสาวชุติภากาญจน์ ประจันทร์
6. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร

ส่วนงานร่วม

1. งานกายภาพและสิ่งแวดล้อม
2. งานอำนวยการกลาง
3. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

เนื้อหา*

โครงการวิจัยและพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่นี้มีจุดเริ่มจากปัญหาโรงเรือนเดิมที่สร้างจากไม้ ปูน และสังกะสี ซึ่งเสื่อมสภาพ ถูกปลวก หนู และสุนัขจรจัดทำลาย ระบายอากาศไม่ดี อุณหภูมิสูงถึง 35–38 °C ในฤดูร้อนและชื้นในฤดูฝน ทำให้ไก่เครียด มีปัญหาสุขภาพ และผลผลิตต่ำกว่ามาตรฐาน ขาดมาตรการสุขาภิบาลและ Biosecurity ที่เข้มงวด ทีมงานจึงดำเนินการพัฒนาโรงเรือนใหม่ โดยใช้แนวทางตามมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 6909(G)-2562 (GAP ฟาร์มไก่ไข่) และมาตรฐาน Good Farm Management (GFM) ของกรมปศุสัตว์ ใช้กระบวนการ PDCA (Plan–Do–Check–Act) ในการปรับปรุงโครงสร้าง ออกแบบระบบระบายอากาศ แสงสว่าง การให้อาหารและน้ำอัตโนมัติ รวมถึงการจัดการมูลสัตว์เพื่อลดกลิ่นและแมลง

ผลการดำเนินงาน
• ภายใน 60 วันแรก โรงเรือนใหม่ให้ผลผลิตไข่รวม 5,202 ฟอง มากกว่าโรงเรือนเก่า (4,900 ฟอง)
• สัดส่วนไข่เบอร์มาตรฐาน (เบอร์ 0–3) เพิ่มขึ้นจาก 51.8% เป็น 59.7% ของผลผลิตทั้งหมด
• ลดสัดส่วนไข่เบอร์เล็ก (เบอร์ 5) ลงกว่า 34%
• สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในเกณฑ์ 25–30 °C และลดกลิ่น/แมลงรบกวนได้กว่า 50%
• โรงเรือนใหม่ป้องกันสัตว์พาหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผ่านการรับรองมาตรฐาน GFM ในปีแรก

ประโยชน์
• ยกระดับคุณภาพผลผลิตไข่ไก่ เพิ่มความปลอดภัยทางอาหาร
• เป็นต้นแบบการเรียนการสอนและวิจัยด้านการจัดการฟาร์มมาตรฐาน
• ขยายผลสู่ชุมชนและเกษตรกรรายย่อย สามารถนำแบบอย่างไปปรับใช้จริง
• ลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมจากกลิ่น มูลสัตว์ และการปนเปื้อน

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs2

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

2.3, 2.4

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs3,12,7,13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

3.9, 12.4, 12.5, 7.2, 13.2
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
https://www.facebook.com/share/p/1724u7uNap/
https://www.facebook.com/share/p/1ATCjvR6Q6/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,4

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. งานกายภาพและสิ่งแวดล้อม, งานอำนวยการกลาง, งานวิชาการและหลักสูตร, หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
3. กรมปศุสัตว์ (ผู้ตรวจประเมินมาตรฐาน GFM)
4. เกษตรกรและผู้สนใจที่เข้าร่วมศึกษาดูงาน

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“ยกระดับฟาร์มไก่ไข่สู่มาตรฐาน GFM”
“เพิ่มคุณภาพไข่ สร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ”
“ต้นแบบการเรียนรู้และการผลิตที่ยั่งยืนของมหิดล”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

2.3.1, 2.4.1, 3.9.1, 12.4.1, 12.5.1, 7.2.1

เตรียมตัวอย่างไร ให้สูงวัยอย่าง Smart

MU-SDGs Case Study*

เตรียมตัวอย่างไร ให้สูงวัยอย่าง Smart

ผู้ดำเนินการหลัก*

นางศศิธร มารัตน์

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

ผู้ดำเนินการร่วม

น.ส. ลัดดาวัลย์ โพธิวิจิตร
น.ส.อรนิช แก้วสุข

ส่วนงานร่วม

ศูนย์การแพทย์มหิดลบำรุงรักษ์ จังหวัดนครสวรรค์

เนื้อหา*

ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โครงสร้างประชากรของประเทศไทยเริ่มเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงวัย” (Aged society) ตั้งแต่ปี 2548 คือ มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 10 ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (Complete Aged Society) ประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปมีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดและ ในปี 2574 ประเทศไทย จะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super Aged Society) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานการคาดการณ์ประชากรของประเทศไทยระหว่างปี 2553-2583
โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีวิสัยทัศน์ด้านบูรณาการสู่การพัฒนาสังคมในภูมิภาค มีความสามารถด้านวิชาการ งานวิจัยและบริการวิชาการแบบบูรณาการที่เป็นต้นแบบนำสู่การพัฒนาชุมชน สังคม เป็นที่พึ่งพิงของชุมชนและสังคมในภูมิภาคเหนือล่าง-กลางบน 7 จังหวัด ได้แก่ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์จังหวัดและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ 1)บูรณาการงานวิจัยในสังคมภูมิภาคและระดับสากล ยุทธศาสตร์ที่3)บริการทางวิชาการเป็นที่พึ่งของชุมชนและสังคมและเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับวิทยาเขต และยุทธศาสตร์ที่ 4)ศูนย์ความเป็นเลิศด้านผู้สูงอายุ
พันธกิจหลักของศูนย์การแพทย์มหิดลบำรุงรักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยจะเป็นเลิศด้านการดูแลผู้สูงอายุและการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย งานผู้สูงอายุและส่งเสริมสุขภาพชุมชน เล็งเห็นความสำคัญของการวางแผนการดูแล และการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ เพื่อเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ (smart Aging) มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิต สังคมและจิตวิญญาณ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ เช่น ด้านหลักประกันรายได้ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านสุขภาพ ด้านการประกอบอาชีพ เป็นต้น
วิธีการดำเนินโครงการ
– จัดรูปแบบวงเสวนา
– เชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่ประชาคมมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ให้ความเคารพ ผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านต่างๆเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนสูงวัยและเตรียมก่อนวัยเกษียณ

– ประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาคมมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์และและผู้สนใจในการเตรียมความพร้อม

จากการจัดกิจกรรมเสวนาในครั้งนี้ พบว่า ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เข้าร่วมในรูปแบบ Onsite จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 97.2 และในรูปแบบ Online จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.8
จากผลการประเมินความพึงพอใจในภาพรวมพบว่า ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดต่อการเสวนาเรื่อง “เตรียมตัวอย่างไรให้สูงวัยอย่าง SMART” โดยเฉพาะในด้านความน่าสนใจของหัวข้อ, ความรู้ที่ได้รับ, และการถ่ายทอดของวิทยากรที่ได้รับคะแนนในระดับ 5 เป็นส่วนใหญ่ ในด้านที่ควรพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติมคือ ระยะเวลาการอบรม เนื่องจากมีการให้คะแนนในระดับที่น้อยที่สุด ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากการเสวนาที่ดำเนินเลยเวลาที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีคำถามจากผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก วิทยากรจึงตอบคำถามอย่างครบถ้วนเพื่อความชัดเจนซึ่งทำให้ระยะเวลาการจัดงานเกินกำหนดจากที่แจ้งไว้
ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสะท้อนมุมมองที่สำคัญเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพคือ
– การเตรียมความพร้อมควรเริ่มตั้งแต่วัยรุ่นและวัยทำงาน ไม่ใช่เพียงเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุแล้วเท่านั้น เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างมีคุณภาพในอนาคต
– การวางแผนทางการเงินเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ซึ่งการวางแผนรายได้ระยะยาว คือปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความมั่นคงในวัยชรา

– สุขภาพร่างกายและจิตใจต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีสุขภาพที่ดี ย่อมไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ แม้จะมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง
– การเข้าสู่วัยสูงอายุต้องอาศัยการปรับมุมมอง การยอมรับบทบาทที่เปลี่ยนไป และการมีทัศนคติที่เป็นบวกต่อตนเอง คุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุต้องครอบคลุมหลายมิติ ได้แก่ ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม เครือข่ายสังคมที่สนับสนุน การมีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว และการสื่อสารที่เข้าใจกันระหว่างวัย
– ผู้เข้าร่วมตระหนักว่า “เวลา” เป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ การเริ่มต้นเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้คือการลงทุนที่มีค่าที่สุด
ข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วม
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเสนอแนะให้มีการจัดเสวนาและอบรมลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง ทั้งในชีวิตประจำวันและในบทบาทของการดูแลครอบครัว

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.d

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

 SDGs4

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 4.7
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.facebook.com/MUNAkhonsawan/posts/pfbid02sMRA9bYjtTwPhiMyZKgmMCh6iZvGBYyaYqzFaSxwQm5e3f5D7bQ25rn83G8M9YHrl?rdid=9f3r74Yz7JmCROW1#

https://www.facebook.com/MahidolUniversity/posts/pfbid02LzQUjHNBSy1F2H8AZaGw5yFadqs3tj7Nx1RjmQabyUYV4J9yfgTN5fh59oQJ7UTrl?rdid=4EiNXZbhfz0zqiok#

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 4

Partners/Stakeholders*

– งานวิชาการและหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
– หลักสูตรสาธารณสุขศาตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
– สมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ จ.นครสวรรค์

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“สูงวัยอย่าง Smart ต้องเริ่มที่การเตรียมพร้อมทั้งกาย ใจ สังคม และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตสูงวัยที่มีคุณค่า”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.d, 4.7

การนำรูปแบบการดูแลประคับประคองต่อเนื่องที่บ้านในเครือข่ายบริการปฐมภูมิขยายผลในเขตสุขภาพที่ 3

MU-SDGs Case Study*

การนำรูปแบบการดูแลประคับประคองต่อเนื่องที่บ้านในเครือข่ายบริการปฐมภูมิ ขยายผลในเขตสุขภาพที่ 3

ผู้ดำเนินการหลัก*

นางศศิธร มารัตน์

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

ผู้ดำเนินการร่วม

ดร.เพียงพิมพ์ ปัณระสี
น.ส. ลัดดาวัลย์ โพธิวิจิตร

ส่วนงานร่วม

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

เนื้อหา*

โครงการ การนำรูปแบบการดูแลประคับประคองต่อเนื่องที่บ้านในเครือข่ายบริการปฐมภูมิ ขยายผลในเขตสุขภาพที่ 3 มีวัตถุประสงค์ เพื่อขยายผลรูปแบบการดูแลประคับประคองต่อเนื่องที่บ้านในเครือข่ายบริการปฐมภูมิ ให้เกิดระบบการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในเครือข่ายบริการปฐมภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายและกลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลประคับประคองต่อเนื่องที่บ้านได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน ซึ่งได้รับการตอบรับเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลมโนรมย์ อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาทและโรงพยาบาลพยุหะคีรี อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ รวมครือข่ายบริการปฐมภูมิ 9 พื้นที่ โดยประยุกต์ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart มี 4 กระบวนการ ประกอบด้วย การวางแผน (planing) การปฏิบัติตามแผน (action) การสังเกตผล (observation) และการสะท้อนผล(reflection) และดำเนินการ 3 วงรอบ ดังนี้ วงรอบที่ 1) ศึกษาระบบและขั้นตอนการทำงานในการดูแลแบบประคับประคองในชุมชน ได้แก่ ระบบการรับและส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยผ่านโปรแกรม thai COC และนำรูปแบบการดูแลแบบประคับประคองต่อเนื่องที่บ้าน ไปใช้ในเครือข่ายบริการปฐมภูมิ จากการสังเกตการณ์ทำงานของเครือข่ายบริการปฐมภูมิ พบว่า มีการใช้โปรแกรม thai COC ในการส่งต่อ ตอบรับข้อมูลผู้ป่วยค่อนข้างน้อย เนื่องจากบุคลากรยังไม่เห็นความสำคัญของการใช้โปรแกรมบางพื้นที่มีการโยกย้ายเปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบงานใหม่ ยังไม่มีความรู้และทักษะการใช้โปรแกรม thai COC นอกจากนี้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดโคก ที่ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ขอเข้าร่วมโครงการเพื่อเป็นเครือข่ายในการประสานการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยในชุมชนด้วย วงรอบที่ 2) จากการสรุปผลและการสะท้อนกระบวนการทำงานในวงรอบที่ 1 จึงมีการส่งเสริมให้บุคลากรในเครื่องข่ายบริการปฐมภูมิ เห็นความสำคัญของการใช้โปรแกรม thai COC และมีองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการดูแลแบบประคับประคอง โดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ ระเบียบ ขั้นตอน การส่งข้อมูล และการเบิกจ่ายตามระเบียบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และขั้นตอนการส่งข้อมูลผู้ป่วยผ่านโปรแกรม thai COC และบันทึกข้อมูลส่งเบิกกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จากการสังเกตการณ์สะท้อนกระบวนการทำงาน พบว่า บุคลากรในเครือข่ายบริการปฐมภูมิมีการตื่นตัวมีการใช้โปรแกรม thai COC ส่งต่อและตอบรับข้อมูลผู้ป่วยประคับประคองเพิ่มขึ้น และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการส่งต่อการดูแลต่อเนื่อง ยังพบสูงอายุและกลุ่มเปราะบางในชุมชนที่ไม่อยู่ในระบบการส่งต่อการดูแลต่อเนื่อง บุคลากรในเครือข่ายบริการปฐมภูมิมีความประสงค์ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลตามรูปแบบการดูแลประคับประคองต่อเนื่องที่บ้าน ในเครือข่ายบริการปฐมภูมิ ด้วยบุคลากรสะท้อนว่ามีความกังวลและไม่กล้าพูดคุยสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวให้เข้าใจการดูแลประคับประคอง เนื่องจากขาดประสบการณ์และทักษะในการสื่อสาร วงรอบที่ 3) จากการสรุปผลและการสะท้อนกระบวนการทำงานในวงรอบที่ 2 พบว่า บุคลากรขาดทักษะการสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลประคับประคอง บุคลากรสุขภาพจึงจำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะในการสื่อสารเพื่อบรรลุเป้าหมาย โดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการทักษะการสื่อสารในการดูแลแบบประคับประคอง ให้มีทักษะในการสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัว ตามมาตรฐานการดูแลแบบประคับประคองที่ต้องได้รับการทำ family meeting และ Advance care Plan แต่กระบวนการที่จะเข้าระบบการส่งต่อการดูแลต่อเนื่องนั้นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ที่โรงพยาบาล ด้วยอาการของสูงอายุและกลุ่มเปราะบางอยู่ในภาวะไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือเคลื่อนย้ายลำบาก เครือข่ายบริการปฐมภูมิร่วมหารือและสรุปขั้นตอนเกิดกระบวนการการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยในระบบเครือข่ายบริการปฐมภูมิ ผ่านโปรแกรม thai COC ตามบริบทของพื้นที่ทำให้เกิดการประสานการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.d

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

 SDGs10,17

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 10.3
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.facebook.com/share/p/1BytsF2L2v/

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 4

Partners/Stakeholders*

1. ระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลมโนรมย์ ได้แก่ รพ.สต.คุ้งสำเภา รพ.สต.วัดโคก รพ.สต.ศิลาดาน รพ.สต.ท่าฉนวน รพ.สต. หางน้ำหนองแขม รพ.สต.ไร่พัฒนา รพ.สต.อู่ตะเภา และหน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลนโนรมย์ (หางน้ำสาคร)
2. หน่วยปฐมภูมิโรงพยาบาลพยุหะคีรี

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“บูรณาการระบบบริการปฐมภูมิเชื่อมต่อการดูแลจากโรงพยาบาลสู่บ้านอย่างไร้รอยต่อ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะท้าย”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.d,10.3

พัฒนาความรู้เท่าทันความตายในพระภิกษุ ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์

MU-SDGs Case Study*

พัฒนาความรู้เท่าทันความตายในพระภิกษุ ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์

ผู้ดำเนินการหลัก*

นางศศิธร มารัตน์

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

น.ส. ลัดดาวัลย์ โพธิวิจิตร
น.ส.อรนิช แก้วสุข

ส่วนงานร่วม

ศูนย์การแพทย์มหิดลบำรุงรักษ์ จังหวัดนครสวรรค์

เนื้อหา*

          หนึ่งในสัจธรรมแห่งชีวิตที่มนุษย์นั่นคือ “ความตาย” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่กลับเป็นสิ่งที่ผู้คนปฏิเสธที่จะพูดถึง ในทางพุทธศาสนาพระภิกษุเป็นผู้สืบทอดศาสนา เป็นผู้เยียวยาด้านจิตใจ และจิตวิญญาณ พระภิกษุมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องความตายมากที่สุด จากการทบทวนวรรณกรรม สุขสันติ งามแก้มและบำเพ็ญจิต แสงชาติ, (2559) ได้ศึกษา การตายดีตามการรับรู้ของพระภิกษุ พบว่า การสะท้อนการตายดีตามการรับรู้ของพระภิกษุจำนวน 3 แก่นสาระ ดังนี้1) การตายที่ไม่ทรมาน 2) การตายที่เป็นไปตามวัฏ และ 3) การตายที่เข้าใจ ในความตาย องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ช่วยยืนยันและขยายภาพการตายดีจากการศึกษาที่ผ่านมาผ่านการรับรู้ของพระภิกษุผู้ให้การดูแลพระภิกษุอาพาธจนกระทั่งมรณภาพ และการศึกษาของพระครูอรรถจริยานุวัตร (สุเทพ ศรีทอง), (2564) ได้ศึกษา การเตรียมตัวตายตามแนวพระพุทธศาสนา พบว่าท่าทีต่อความตายและวิธีปฏิบัติต่อความตายนั้น เห็นว่า ยิ่งพิจารณาเห็นความตายให้เป็นความธรรมดาได้มากเท่าไหร่ก็จะลดความทุกข์ที่เกิดจากความตายได้มากเท่านั้น การทำความคุ้นเคยกับความตาย เพื่อเผชิญกับความตายอย่างมีสติจึงจะเป็นการตายดีที่มีคุณภาพตามแนวพระพุทธศาสนา เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้เท่าทันความตายตามการรับรู้ของพระภิกษุ เป็นการเติมเต็มองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ให้มีความครอบคลุมทุกมิติ เกี่ยวข้องกับความตายให้มีความสมบูรณ์ในฐานะพระภิกษุซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสามารถนำไปถ่ายทอด ส่งเสริมชุมชนให้อยู่ดีและตายดีได้ โดยครอบคลุมทุกมิติ สอดคล้องและเหมาะสมกับสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อและวิถีพุทธ การศึกษาการรับรู้เท่าทันความตายตามการรับรู้ของพระภิกษุ มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ผลก่อนและหลังการพัฒนาความรู้เท่าทันความตายในพระภิกษุและฆารวาส และเปรียบเทียบผลการพัฒนาความรู้เท่าทันความตายระหว่างพระภิกษุและฆารวาส

          วิธีดำเนินการ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ ผ่านการพัฒนาความรู้เท่าทันความตาย มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ความรู้ (knowledge) ทักษะ (skill) การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Experiential learning) และการปฏิบัติทางสังคม (Social Action) มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 100  คน เป็น พระภิกษุ จำนวน 15 รูป ฆารวาส จำนวน 15 คน และมีผู้สูงอายุเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 70 คน ผลการวิเคราะห์ความรู้เท่าทันความตายของพระภิกษุและฆารวาสก่อนและหลังการอบรม เมื่อ 1) เปรียบเทียบคะแนนความรู้เท่าทันความตายของพระภิกษุและฆารวาส ก่อนการอบรม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (U = 42, p < 0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เท่าทันความตายของฆราวาสสูงกว่าพระสงฆ์ (ค่าเฉลี่ยคะแนนพระสงฆ์ = 10.80,ค่าเฉลี่ยคะแนนฆราวาส =20.20) 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เท่าทันความตายของพระภิกษุก่อนและหลังการอบรม พบว่า คะแนนความรู้ของพระสงฆ์ ก่อนและหลังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = [-2.138], p < 0.05)  3) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เท่าทันความตายของฆารวาสก่อนและหลังการอบรม พบว่าคะแนนความรู้ของกลุ่มฆราวาส ก่อนและหลังไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = [-1.039], p > 0.05) 

          จากการสัมภาษณ์พระภิกษุที่เข้าร่วมอบรมภายหลังใช้เครื่องมือ เกมส์ไพ่ไขชีวิต และกร์าดแชร์กันเปิดใจยอมรับในการพูดคุยเรื่องความตายและมีมุมมองเรื่องความตายที่เปลี่ยนไป จากคำบอกเล่า “ เป็นการอบรมที่แปลก ไม่เคยอบรมและเรียนรู้เรื่องนี้แบบจริงจังขนาดนี้” “คำถามบางคำถามทำให้เราได้ฉุกคิด” “สมุดเบาใจมีประโยชน์มากทำให้เราได้ทำหน้าที่แทนเราในวันที่เราไร้สติสัมปชัญญะ ..สมุดนี้กระผมอยากซื้อเพิ่ม” และสัมภาษณ์กลุ่มฆารวาส ภายหลังเข้าร่วมอบรม พบว่า ผู้เข้าร่วมอบรมเปิดใจยอมรับและพูดคุยเรื่องความตาย มีประทับใจกับชุดเครื่องมือและเห็นประโยชน์ของสมุดเบาใจ “ ถ้าเรามีหลักฐานสมุดเบาใจ ถ้าเราเป็นอะไรไป เขาก็จะเข้าใจและทำตามที่เราบอกไว้ เขาจะได้ไม่รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดภายหลัง”

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.d

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs10

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 10.3
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.facebook.com/photo/?fbid=979047657593986&set=pcb.979047720927313

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 4

Partners/Stakeholders*

วัดเขาทอง ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
องค์การบริหารส่วนตำบลเขาทอง
สมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย จังหวัดนครสวรรค์
ชมรมผู้สูงอายุตำบลเขาทอง

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 

Key Message*

ก่อนเข้าร่วมอบรมกลุ่มฆารวาสที่มีคะแนนความรู้เท่าทันความตายสูงกว่าพระภิกษุ เพราะอสม. มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุในชุมชน ได้พูดคุย ได้เห็นตลอดกระบวนการดูแลจนเสียชีวิต ทำให้มีความเข้าใจความรู้เท่าทันความตายมากกว่าพระภิกษุ ถึงแม้พระภิกษุเปรียบเหมือนผู้นำทางจิตตวิญญาณและมีความเข้าใจในหลักธรรม มีการศึกษาเรื่องความเป็นไปในชีวิตตามหลักสัจธรรม (การเกิด แก่ เจ็บ ตาย) หากเปรียบเทียบเชิงอุปมา “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ” ช่วยให้เข้าใจถึงพระสงฆ์ที่อยู่ใกล้ชิดกับแนวคิดเรื่องความตายเสมอ แต่อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยหรือสัมผัสกับกระบวนการตายอย่างใกล้ชิด ทำให้การรับรู้เกี่ยวกับความตายถูกจำกัดอยู่ในกรอบของแนวคิดทางธรรม โดยไม่มีการเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตจริง ดังเช่นนกที่อยู่ในท้องฟ้าตลอดเวลาแต่ไม่เห็นถึงท้องฟ้าที่ห้อมล้อมตัวเอง หรือปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำโดยไม่ตระหนักรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่รายล้อม แต่เมื่อพระสงฆ์เปิดใจยอมรับที่จะพูดถึงและเรียนรู้เกี่ยวกับความตาย โดยผ่านการอบรมพัฒนาความรู้เท่าทันความตายตามองค์ประกอบทั้ง 4 ได้แก่ ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Experiential learning) และการปฏิบัติทางสังคม (Social Action) ทำให้พระสงฆ์เกิดความเข้าใจเห็นถึงความจริงของชีวิตในมิติที่ไม่สามารถเข้าใจได้จากการศึกษาทางธรรมเพียงอย่างเดียว นำไปสู่การวัดผลหลังเข้าร่วมอบรมคะแนนความรู้เท่าทันความตายของพระสงฆ์ ก่อนและหลังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3d, 10.3

กิจกรรมสร้างสุข ส่งเสริมสุขภาพจิตทุกช่วงวัยภายใต้โครงการสร้างสุข รอบรู้สุขภาพ ชุมชนวัดไทรย์ (ต.วัดไทรย์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์)

MU-SDGs Case Study*

กิจกรรมสร้างสุข ส่งเสริมสุขภาพจิตทุกช่วงวัย
ภายใต้โครงการสร้างสุข รอบรู้สุขภาพ ชุมชนวัดไทรย์ (ต.วัดไทรย์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์)

ผู้ดำเนินการหลัก*

ผศ.ดร.กาญจนาณัฐ ทองเมืองธัญเทพ

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

อ.ดร.นิรนาท วิทยโชคกิติคุณ
อ.เอกลักษณ์ เด็กยอง
อ.จุฑารัตน์ สว่างชัย
อ.ยุวรีย์ อินทร์เพ็ญ
อ.ธนัญญา เณรตาก้อง
อ.ทัตติยา ชังชั่ว
อ.นิศานาถ ทองใบ
อ.ไอศวรรยา ยอดวงษ์

ส่วนงานร่วม

1. องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์
2. ชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลวัดไทรย์
3. ชมรมผู้สูงอายุตำบลวัดไทรย์
4. โรงเรียนวัดหาดทรายงาม โรงเรียนวัดบางม่วง โรงเรียนวัดวังหิน
5. กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์

เนื้อหา*

1. ความสำคัญ

ด้วยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายมุ่งเน้นประจำปี พ.ศ. 2566 ในการส่งเสริมและดูแลให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงวัย เพื่อให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) จนสามารถดูแลตัวเองได้ ปัญหาด้านสุขภาพจิตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการถูกกระทำรุนแรงด้านจิตใจ เช่น การพูดไม่ดี ทะเลาะ ทำให้เสียใจ น้อยใจ การปลูกผังค่านิยมที่ผิดของสังคม รุนแรงไปถึงปัญหาการทอดทิ้งไม่ดูแล จากปัญหาเหล่านี้ส่งผลเกิดความคิดด้านลบ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายได้ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและถูกวิธี อาจทำให้เกิดปัญหาต่ออารมณ์ พฤติกรรมและร่างกายที่ร้ายแรง

ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสุขภาพของประเทศไทย หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดทำโครงการสร้างสุข ส่งเสริมสุขภาพจิตทุกช่วงวัยขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมมีความรู้ ความสามารถในการดูแลสุขภาพจิตเบื้องต้น ซึ่งสามารถส่งต่อข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดำเนินการป้องกัน ฟื้นฟู และส่งต่อให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

2. ผลการดำเนินงาน

1. กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติรวมทั้งการพัฒนาสุขภาพจิต โดยมีระดับความพึงพอใจต่อโครงการภาพรวม          

           1.1 กลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมโดยรวมระดับมาก 

           1.2 กลุ่มวัยทำงาน มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมโดยรวมระดับมากที่สุด   

           1.3 กลุ่มวัยผู้สูงอายุ มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมโดยรวมระดับมากที่สุด

2. ประเมินปัญหาสุขภาพจิตของกลุ่มเป้าหมายพบว่า 

           2.1 กลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น ไม่มีภาวะเครียด (ร้อยละ 68.38) ไม่มีภาวะซึมเศร้า (ร้อยละ 67.88) และไม่มีปัญหาติดเกมส์ (ร้อยละ 81.45)      
           2.2 กลุ่มวัยทำงาน ไม่มีภาวะเครียด (ร้อยละ 60) ไม่มีภาวะซึมเศร้า (ร้อยละ 100) ไม่มีแนวโน้มฆ่าตัวตาย (ร้อยละ 100) และไม่มีมีภาวะหมดไฟ ระดับ (ร้อยละ 60)      

           2.3 กลุ่มวัยผู้สูงอายุ ไม่มีภาวะเครียด (ร้อยละ 55) ไม่มีภาวะซึมเศร้า (ร้อยละ 95) ไม่มีแนวโน้มฆ่าตัวตาย (ร้อยละ 100) และไม่สงสัยภาวะสมองเสื่อม (ร้อยละ 100)   

 

ผลกระทบที่เกิดขึ้น 
      1) เด็กวัยเรียนมีความสนใจ และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี เรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์ชนิดต่าง ๆ มีความตะหนักถึงการเคารพและให้เกียรติผู้อื่น มีความระมัดระวังในการแสดงพฤติกรรมและคำพูดที่ไม่ดีต่อผู้อื่น สามารถแยกแยะคำพูดที่ดี หรือไม่ดี การพูดให้กำลังใจ การพูดชมเชย และให้เกียรติเพื่อน และผู้อื่น
     2) วัยทำงาน ได้เรียนรู้ตัวตน และความรู้สึกของตนเอง มีความเข้าใจตนเอง และผู้อื่นมากขึ้นผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน
     3) ผู้สูงอายุ ได้ฝึกสมอง พัฒนาความจำ จากการเล่นเกม รวมทั้งการเสริมสร้างสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ได้ผ่อนคลายความเครียด มีความสนุก เพลิดเพลิน และมีความสุข
 
 
 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.1, 3.2, 3.4

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

 

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.moph.go.th/

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 3

Partners/Stakeholders*

1. องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์

2. ชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลวัดไทรย์

3. ชมรมผู้สูงอายุตำบลวัดไทรย์

4. โรงเรียนวัดหาดทรายงาม โรงเรียนวัดบางม่วง โรงเรียนวัดวังหิน

5. กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์ 

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 

Key Message*

การส่งเสริมการพัฒนาความรู้และศักยภาพของประชาชนในการดูแลสุขภาพจิต จะช่วยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดียิ่งขึ้น

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.1.1, 3.3.2

กิจกรรม โลกสดใสด้วยสุขภาวะทางตาที่ดี ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและกลุ่มผู้สูงอายุ ภายใต้โครงการสร้างสุข รอบรู้สุขภาพ ชุมชนวัดไทรย์ (ต.วัดไทรย์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์)

MU-SDGs Case Study*

กิจกรรม โลกสดใสด้วยสุขภาวะทางตาที่ดี ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและกลุ่มผู้สูงอายุ ภายใต้โครงการสร้างสุข รอบรู้สุขภาพ ชุมชนวัดไทรย์ (ต.วัดไทรย์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์)

ผู้ดำเนินการหลัก*

ผศ.ดร.กาญจนาณัฐ ทองเมืองธัญเทพ

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

อ.ดร.นิรนาท วิทยโชคกิติคุณ
อ.ดร.สรัญยา ลิ้มสายพรหม
อ.เอกลักษณ์ เด็กยอง
อ.จุฑารัตน์ สว่างชัย
อ.ยุวรีย์ อินทร์เพ็ญ
อ.ธนัญญา เณรตาก้อง
อ.ทัตติยา ชังชั่ว
อ.นิศานาถ ทองใบ
อ.ไอศวรรยา ยอดวงษ์

ส่วนงานร่วม

1. องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์
2. ชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลวัดไทรย์
3. ชมรมผู้สูงอายุตำบลวัดไทรย์
4. กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์

เนื้อหา*

1. ความสำคัญ

ด้วยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายมุ่งเน้นประจำปี พ.ศ. 2566 ในการส่งเสริมและดูแลให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงวัย เพื่อให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) จนสามารถดูแลตัวเองได้ รวมถึงการเพิ่มขอบเขตความสามารถให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้เป็น Smart อสม. เพื่อดูแลและให้ข้อมูลประชาชนได้อย่างครอบคลุม ซึ่งปัญหาสุขภาพของแต่ละช่วงวัยพบได้แตกต่างกันออกไป ในกลุ่มผู้สูงอายุ มักพบปัญหาที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย โดยเฉพาะการมองเห็น เช่น สายตายาว จอประสาทตาเสื่อม ต้อชนิดต่าง ๆ หรืออาจเป็นโรคร้ายหากไม่ได้รับการตรวจและส่งต่อรักษาอย่างทันท่วงที โดยผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจสุขภาพตาทุกปี และต้องมีความรู้ในการดูแลและปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพตา ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสุขภาพของประเทศไทย หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดทำโครงการโลกสดใสด้วยสุขภาวะทางตาที่ดี ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและกลุ่มผู้สูงอายุขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมมีความรู้ ความสามารถในการดูแลสุขภาพตา และได้รับการประเมิน คัดกรองปัญหาสุขภาพตาและการส่งต่อเบื้องต้น ซึ่งสามารถส่งต่อข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดำเนินการป้องกัน ฟื้นฟู และส่งต่อให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

2. ผลการดำเนินงาน

   กลุ่มเป้าหมาย มีความรู้ ความสามารถในการดูแลสุขภาพตา และจากการประเมิน คัดกรองปัญหาสุขภาพตาเบื้องต้นพบว่า

          1) คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคและปัญหาสุขภาพตา การดูแล และการแก้ปัญหาเบื้องต้นทั้ง 2 กลุ่ม ก่อนการอบรม คิดเป็นร้อยละ 66.84 หลังการอบรม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85.42
          2) กลุ่มวัยทำงาน มีปัญหาสุขภาพตา (ร้อยละ 32) ส่วนใหญ่มีต้อเนื้อ (ร้อยละ 14 รองลงมา ต้อกระจก ต้อลม และต้อหิน ตามลำดับ (ร้อยละ 8, 6, 2) นอกจากนี้ไม่มีภาวะตาบอดสี (ร้อยละ 100)
           3) กลุ่มวัยผู้สูงอายุ มีปัญหาสุขภาพตา (ร้อยละ 78.33) ส่วนใหญ่มีต้อกระจก (ร้อยละ 35 รองลงมา ต้อลม และต้อเนื้อ ตามลำดับ (ร้อยละ 26.67, 8.33) นอกจากนี้ไม่มีภาวะตาบอดสี (ร้อยละ 100)

ผลกระทบที่เกิดขึ้น 
      1)  เกิดการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคและปัญหาสุขภาพตา การดูแล และการแก้ปัญหาเบื้องต้น รวมทั้งสร้างตระหนักรู้ในดูแลสุขภาพมากขึ้นในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และกลุ่มผู้สูงอายุ 
      2) กลุ่มเป้าหมายได้ทราบผลคัดกรองสุขภาพตา สามารถส่งต่อข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมทั้งได้รับการส่งต่อเพื่อให้ได้การรักษาที่เหมาะสม
 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.1, 3.2, 3.4

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

 

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.moph.go.th/

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 3

Partners/Stakeholders*

1. องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์
2. ชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลวัดไทรย์
3. ชมรมผู้สูงอายุตำบลวัดไทรย์
4. กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 

Key Message*

การส่งเสริมการพัฒนาความรู้และศักยภาพของประชาชนในการดูแลสุขภาพตา จะช่วยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดียิ่งขึ้น

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.1.1, 3.3.2

กิจกรรม ประถมศึกษาฉลาดรู้ และเท่าทันเพศวิถี ภายใต้โครงการสร้างสุข รอบรู้สุขภาพ ชุมชนวัดไทรย์ (ต.วัดไทรย์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์)

MU-SDGs Case Study*

กิจกรรม ประถมศึกษาฉลาดรู้ และเท่าทันเพศวิถี
ภายใต้โครงการสร้างสุข รอบรู้สุขภาพ ชุมชนวัดไทรย์ (ต.วัดไทรย์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์)

ผู้ดำเนินการหลัก*

ผศ.ดร.กาญจนาณัฐ ทองเมืองธัญเทพ

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

อ.ดร.นิรนาท วิทยโชคกิติคุณ
อ.เอกลักษณ์ เด็กยอง
อ.ยุวรีย์ อินทร์เพ็ญ
อ.ธนัญญา เณรตาก้อง
อ.ทัตติยา ชังชั่ว
อ.นิศานาถ ทองใบ
อ.ไอศวรรยา ยอดวงษ์

ส่วนงานร่วม

1. องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์
2. โรงเรียนวัดหาดทรายงาม โรงเรียนวัดบางม่วง โรงเรียนวัดวังหิน
3. กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์

เนื้อหา*

1. ความสำคัญ
          ด้วยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายมุ่งเน้นประจำปี พ.ศ. 2566 ในการส่งเสริมและดูแลให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงวัย เพื่อให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) จนสามารถดูแลตัวเองได้ ซึ่งปัญหาสุขภาพของแต่ละช่วงวัยพบได้แตกต่างกันออกไป สำหรับกลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่น พบว่า ในปัจจุบันข่าวเรื่องเพศมักปรากฏในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ การท้องในวัยเรียนและการรับมือด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย จนถึงการเลือกปฏิบัติในผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งทางแก้ไขคือการสอนอย่างถูกวิธี เพื่อให้เกิดความเท่าทันต่อเรื่องเพศของตนเอง สามารถเลือกวิธีการที่ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม

          ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสุขภาพของประเทศไทย หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดทำโครงการประถมศึกษาฉลาดรู้ และเท่าทันเพศวิถี ในกลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเพศศึกษา วิธีการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศ การแสดงออกทางเพศ และกระบวนการพัฒนาตนเองทางเพศที่เหมาะสม 

2. ผลการดำเนินงาน

ผลลัพธ์เชิงปริมาณ

     1) มีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 100

     2) อาหารว่างและเครื่องดื่ม คิดเป็นร้อยละ 100

     3) การใช้เวลาอบรมของวิทยากรมีความเหมาะสม คิดเป็นร้อยละ 100

     4) อุปกรณ์ที่ใช้ในสื่อการสอนมีความเหมาะสม คิดเป็นร้อยละ 100

     5) ความพึงพอใจที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ระดับพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 90 และระดับพึงพอใจมาก คิดเป็นร้อยละ 10 ความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥= 4.9, S.D. = .86)

ผลลัพธ์เชิงคุณภาพ
จากการสนทนากลุ่มคุณครู และนักเรียน “กิจกรรมประกอบอุปกรณ์เสริม และหุ่นจำลองช่วยสอนทำให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น มีความสนุกได้ความรู้ และเหมาะสมกับวัยที่ควรรู้ เด็กสมารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเมื่ออยู่ที่บ้านหรือในชุมชนได้ การเตรียมเด็กตั้งแต่ก่อนวัยรุ่นเป็นสิ่งสำคัญมาก จะช่วยลดปัญหาเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้”

ผลกระทบที่เกิดขึ้น 
           กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเพศศึกษา วิธีการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศ การแสดงออกทางเพศ และกระบวนการพัฒนาตนเองทางเพศที่เหมาะสม รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้แก่กลุ่มเป้าหมาย ผู้ปกครอง คุณครู และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นถึงความสำคัญเพิ่มมากขึ้น
 
 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.1, 3.2, 3.4

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

 

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.moph.go.th/

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 3

Partners/Stakeholders*

1. องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์
2. โรงเรียนวัดหาดทรายงาม โรงเรียนวัดบางม่วง โรงเรียนวัดวังหิน
3. กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบลวัดไทรย์

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 

Key Message*

การส่งเสริมการพัฒนาความรู้และศักยภาพของประชาชนในการดูแลสุขภาพ รู้จักวิธีป้องกันและปฏิบัติตัวให้เหมาะสมเกี่ยวกับเพศศึกษาอย่างครอบคลุม จะช่วยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดียิ่งขึ้น

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.1.1, 3.3.2

พัฒนาศักยภาพการสื่อสารในการดูแลแบบประคับประคอง ของทีมสุขภาพในเครือข่าย ปฐมภูมิโรงพยาบาลมโนรมย์ อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท

MU-SDGs Case Study*

พัฒนาศักยภาพการสื่อสารในการดูแลแบบประคับประคอง ของทีมสุขภาพในเครือข่าย    ปฐมภูมิโรงพยาบาลมโนรมย์ อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท

ผู้ดำเนินการหลัก*

นางศศิธร มารัตน์

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

น.ส. ลัดดาวัลย์ โพธิวิจิตร
น.ส.อรนิช แก้วสุข

ส่วนงานร่วม

ศูนย์การแพทย์มหิดลบำรุงรักษ์ จังหวัดนครสวรรค์

เนื้อหา*

           โรงพยาบาลมโนรมย์ เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง มีเครื่อข่ายปฐมภูมิ จำนวน 8 พื้นที่ ได้แก่ รพ.สต.คุ้งสำเภา รพ.สต.วัดโคก รพ.สต.ศิลาดาน รพ.สต.ท่าฉนวน รพ.สต. หางน้ำหนองแขม รพ.สต.ไร่พัฒนา รพ.สต.อู่ตะเภา และหน่วยปฐมภูมิ รพ.นโนรมย์ (หางน้ำสาคร) แต่ละพื้นที่มีจัดบริการกองทุน Long Term Care ซึ่งเป็นการดูแล ส่งต่อ ตั้งแต่โรงพยาบาลสู่บ้านมีการส่งข้อมูลสุขภาพ โดยเฉพาะการดูแลแบบประคับประคองร่วมกันทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้านแต่ด้วยจำนวนพยาบาลที่จำนวนจำกัดในการดูแลที่ซึ่งต้องทำ family meeting และAdvance care plan ที่บ้านจึงทำให้เกิดการดูแลไม่ทั่วถึง เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเรื่องการตายดีและการดูแลแบบประคับประคองให้เป็นระบบ การสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญในกระบวนการการดูแล จึงจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพการสื่อสารในการดูแลแบบประคับประคองของทีมสุขภาพ ในเขตพื้นที่เครือข่ายปฐมภูมิโรงพยาบาลมโนรมย์ อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาทโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะกระบวนกรการสื่อสารในการดูแลแบบประคับประคองและเสริมสร้างวัฒนธรรมความตายพูดได้ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะกระบวนกรให้แก่บุคลากรทีมสุขภาพในเครือข่ายปฐมภูมิโรงพยาบาลมโนรมย์ ประกอบด้วยการอบรมทักษะกระบวนกรเบื้องต้น ได้แก่ ทักษะการรับฟังอย่างตั้งใจ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย และการใช้ชุดเครื่องมือของ Peaceful Death ได้แก่ เกมส์ไพ่ไขชีวิต ไพ่ฤดูฝน การ์ดแชร์กัน แคร์คลับและสมุดเบาใจ ประเมินผลโดยใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบประเมินทักษะการสื่อสารของบุคลากรด้านสุขภาพ (Health Communication Assessment Tool : HCAT) ก่อนและหลังการอบรม 

            ผลการประเมินทักษะการสื่อสารของบุคลากรด้านสุขภาพ พบว่า จากผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 37 คน เป็นชาย 3 คน  หญิง 34 คน อายุเฉลี่ย 55 ปี มีคะแนนทักษะการสื่อสารด้านสุขภาพของบุคลากรทางการแพทย์หลังอบรมมีค่าเฉลี่ย 98.38 (SD= 13.68) สูงกว่าก่อนอบรมมีค่าเฉลี่ย 83.83 (SD= 8.28) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ(p<.001)  การเสริมสร้างวัฒนธรรมความตายพูดได้ ผู้เข้าร่วมเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง เห็นได้จากผู้เข้าร่วมอบรมสะท้อนว่า“ได้ไปจัดเก็บข้าวของ..(สมบัติ)ให้เป็นหมวดหมู่…เป็นระเบียบ…และหาง่าย” “ได้บอกกับแม่ว่า..ถ้าตายให้สวดหนึ่งคืน…เผาเลย” และสามารถพูดคุยสื่อสารเรื่องความตายกับคนในครอบครัวและสื่อสารพูดคุยกับป่วยและญาติได้ 

 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

3.c

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs4

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

 4.4
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://discord.com/channels/1204631979358822400/1220262637083037747

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 4

Partners/Stakeholders*

เครื่อข่ายปฐมภูมิโรงพยาบาลมโนรมย์ จำนวน 8 พื้นที่ ได้แก่ รพ.สต.คุ้งสำเภา รพ.สต.วัดโคก รพ.สต.ศิลาดาน รพ.สต.ท่าฉนวน รพ.สต. หางน้ำหนองแขม รพ.สต.ไร่พัฒนา รพ.สต.อู่ตะเภา และหน่วยปฐมภูมิ รพ.นโนรมย์ (หางน้ำสาคร)

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 

Key Message*

“ทักษะการสื่อสารของทีมสุขภาพเป็นหัวใจการดูแลแบบประคับประคองและเสริมสร้างวัฒนธรรมความตายพูดได้ การอบรมนี้จึงป็นการเตรียมบุคลากรด้านสุขภาพในการดูแลผู้ป่วยตามแนวนโยบายชีวาภิบาล”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

3.c, 4.4