การทำนาคาร์บอนต่ำในวิทยาเขตนครสวรรค์ : ต้นแบบเกษตรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฟื้นฟูระบบนิเวศ

MU-SDGs Case Study*

การทำนาคาร์บอนต่ำในวิทยาเขตนครสวรรค์ : ต้นแบบเกษตรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฟื้นฟูระบบนิเวศ

ผู้ดำเนินการหลัก*

นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานหลัก

ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ

ผู้ดำเนินการร่วม

1. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร
2. น.ส. วิมลรัตน์ อัตถบูรณ์
3. นายประยูร แตงทรัพย์
4. รศ.ดร. สมพงศ์ โอทอง

ส่วนงานร่วม

1. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. กลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวสามมัคคีพันธุ์ข้าว

เนื้อหา*

การทำนาแบบดั้งเดิมในหลายพื้นที่ของประเทศไทยมักใช้วิธี “แช่น้ำตลอดฤดู” และมีการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำคัญ ได้แก่ มีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนและคุณภาพอากาศ โครงการนี้จึงมุ่งพัฒนาระบบ “การทำนาคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Rice Farming)” เพื่อเป็นต้นแบบการผลิตข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างองค์ความรู้ที่สามารถถ่ายทอดสู่เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างได้
ภายใต้พื้นที่สาธิตของศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำ “แปลงนาข้าวคาร์บอนต่ำต้นแบบ” ขนาด 1 ไร่ เพื่อทดสอบแนวทางการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying: AWD) ร่วมกับการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และการใช้ฟางข้าวหมักแทนการเผา

กิจกรรมหลักและแนวทางดำเนินงาน
• วิเคราะห์ดินและวางแผนการจัดการธาตุอาหารพืชตามค่าวิเคราะห์
• ใช้ระบบ AWD โดยติดตั้งท่อวัดระดับน้ำและควบคุมรอบการให้น้ำ
• เปรียบเทียบผลผลิตและการปล่อยคาร์บอนกับแปลงนาทั่วไป
• ประเมินอัตราการปล่อยก๊าซ CH₄ และ N₂O จากการทำนา
• ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้นักศึกษาและเกษตรกรในพื้นที่รอบวิทยาเขต

ผลลัพธ์และประโยชน์
• ลดการใช้น้ำในการทำนาได้กว่า 30%
• ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25–40% เมื่อเทียบกับแปลงทั่วไป
• ฟื้นฟูสุขภาพดินและเพิ่มอินทรียวัตถุจากการหมุนเวียนฟางข้าว
• เป็นพื้นที่ต้นแบบด้าน “Green Campus & Sustainable Agriculture” ของมหาวิทยาลัย
• ขยายผลเชื่อมโยงกับชุมชนรอบบึงบอระเพ็ดและเครือข่ายนิคม NEXT

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

13.2

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs2,12,15

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

2.4, 12.4, 12.5, 15.1, 3.9
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
https://www.facebook.com/share/p/1D69jw3Ga9/
https://www.facebook.com/share/17bUtPSPRo/
https://www.facebook.com/share/v/17Ds3NgokT/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,3

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. เครือข่ายเกษตรกรพื้นที่รอบบึงบอระเพ็ด
3. กลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวสามมัคคีพันธุ์ข้าว
4. หน่วยงานสิ่งแวดล้อมและการเกษตรระดับจังหวัด

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

ต้นแบบนาคาร์บอนต่ำ มหิดลนครสวรรค์”
“ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มความยั่งยืนให้ระบบเกษตร”
“สร้างองค์ความรู้จากแปลงจริง สู่ชุมชนคาร์บอนต่ำในอนาคต”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

2.4.1, 13.2.1, 12.4.1, 12.5.1, 15.1.1

กิจกรรมลดการเผาและบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อป้องกันปัญหามลพิษทางอากาศและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเกษตรกรที่ยั่งยืน

MU-SDGs Case Study*

กิจกรรมลดการเผาและบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อป้องกันปัญหามลพิษทางอากาศและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเกษตรกรที่ยั่งยืน

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร
2. นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานหลัก

1. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
2. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ
3. สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 (นครสวรรค์)

ผู้ดำเนินการร่วม

นายศรีจันทร์ กันทะ
ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.ทับกฤช
อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์

ส่วนงานร่วม

 

เนื้อหา*

การเผาฟางข้าวและเศษวัสดุการเกษตรเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือตอนล่างและลุ่มน้ำเจ้าพระยา การเผาส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ (PM 2.5) สูญเสียอินทรียวัตถุในดิน และกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 จัดเวิร์กชอป “การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ บ้านหนองไกร ต.ทับกฤช อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ โดยมีเกษตรกรและผู้นำชุมชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

 

กิจกรรมที่ดำเนินการ

• ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดการเศษฟางและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน

• แนะนำเทคนิคการลดการเผาและการใช้เศษวัสดุเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน

• ตั้งเป้าหมายและแผนพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรเพื่อการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

• เรียนรู้จาก แปลงต้นแบบของนายศรีจันทร์ กันทะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ที่นำแนวปฏิบัติจริงมาประยุกต์ใช้

 

ผลลัพธ์และประโยชน์

• เกษตรกรมีความรู้ในการจัดการเศษวัสดุโดยไม่ต้องพึ่งการเผา ลดปัญหามลพิษทางอากาศ

• เสริมสร้างเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบเพื่อขยายผลในชุมชนอื่น

• ยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ และเพิ่มความยั่งยืนของการผลิตข้าว

• เป็นเวทีเชื่อมโยงมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนท้องถิ่น

 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

13.2

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs12,15,3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

12.4, 12.5, 15.1, 3.9
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
https://www.facebook.com/share/p/1b3zZHxFEq/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,3

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 (นครสวรรค์)
3. ผู้นำชุมชนและเครือข่ายเกษตรกรบ้านหนองไกร ต.ทับกฤช

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“ลดการเผา เพิ่มคุณภาพดิน ร่วมสร้างอากาศสะอาด”
“เวิร์กชอปเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่ชุมชนยั่งยืน”
“มหิดลจับมือหน่วยงานรัฐและเกษตรกร แก้ปัญหามลพิษอย่างเป็นรูปธรรม”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

13.2.1, 12.4.1, 12.5.1, 15.1.1, 3.9.1

การพัฒนาต้นแบบกระถางย่อยสลายได้จากโคนหน่อไม้ฝรั่ง: การใช้ประโยชน์วัสดุเหลือทิ้งเพื่อสร้างอาชีพและความยั่งยืน

MU-SDGs Case Study*

การพัฒนาต้นแบบกระถางย่อยสลายได้จากโคนหน่อไม้ฝรั่ง: การใช้ประโยชน์วัสดุเหลือทิ้งเพื่อสร้างอาชีพและความยั่งยืน

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร
2. นายธนากร จันหมะกสิต
3. รศ.ดร.สงพงษ์ โอทอง
4. อ.ดร.ชลธิชา มามิมิน

ส่วนงานหลัก

1. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
2. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ
3. หลักสูตรเทคโนโลยีเกษตรและสิ่งแวดล้อม

ผู้ดำเนินการร่วม

ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่หน่อไม่ฝรั่ง อ.ตากฟ้า

ส่วนงานร่วม

1. นิคมสร้างตนเองตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
2. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่หน่อไม่ฝรั่ง อ.ตากฟ้า

เนื้อหา*

หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ซึ่งมีการปลูกในลักษณะ “แปลงใหญ่” เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตามส่วนโคนหน่อไม้ฝรั่ง (ประมาณ 30–40% ของผลผลิต) มักถูกตัดทิ้งเป็นเศษเหลือทิ้งทางการเกษตร กลายเป็นปัญหาของเกษตรกร ทั้งด้านการกำจัดและการสูญเสียโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม โครงการนี้จึงพัฒนาต้นแบบและศึกษาความเป็นไปได้ของการผลิต “กระถางย่อยสลายได้จากโคนหน่อไม้ฝรั่ง” โดยใช้แนวคิด BCG Economy และการเรียนรู้เชิงบูรณาการ ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับเกษตรกรภายใต้โครงการ นิคม NEXT ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ขั้นตอนดำเนินงาน
• ศึกษาคุณสมบัติของโคนหน่อไม้ฝรั่งที่เหลือทิ้ง และพัฒนาเป็นวัตถุดิบทำกระถาง
• ทดลองสร้างต้นแบบกระถางที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

แนวทางต่อยอดและพัฒนา
• ออกแบบบรรจุภัณฑ์และทดสอบการปลูกจริง (seedling test)
• ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้ชุมชนเกษตรกรรอบนิคม NEXT
• ทดลองตลาดเบื้องต้นกับผู้ประกอบการไม้ดอกและผักปลูกในกระถาง

ผลลัพธ์และประโยชน์
• ลดปริมาณวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตหน่อไม้ฝรั่ง
• เพิ่มรายได้เสริมให้เกษตรกร และสร้างโอกาสอาชีพใหม่

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs12

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

12.4, 12.5

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs8,9,15

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

8.3, 9.5, 15.1
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
https://www.facebook.com/share/p/1b3zZHxFEq/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,4

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นิคม NEXT)
3. กลุ่มเกษตรกรหน่อไม้ฝรั่ง อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“จากเศษเหลือเกษตร…สู่กระถางรักษ์โลก”
“เพิ่มมูลค่าหน่อไม้ฝรั่ง ตอบโจทย์ BCG และ SDGs”
“สร้างนวัตกรรมใหม่ เชื่อมโยงมหาวิทยาลัย-ชุมชน ผ่านนิคม NEXT”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

12.4.1, 12.5.1, 8.3.1, 9.5.1, 15.1.1

ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชน: ไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น

MU-SDGs Case Study*

ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชน: ไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. นายธนากร จันหมะกสิต
2. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร

ส่วนงานหลัก

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล
1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ
2. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

ผู้ดำเนินการร่วม

1. นางสาวอทิตยา เยาว์พฤกษ์ชัย
2. นางจุฑามาส กลิ่นเกล้า
3. นางมธุรส หุ่นหล่อ

ส่วนงานร่วม

1. สำนักงานเกษตรจังหวัดอุทัยธานี กรมส่งเสริมการเกษตร
2. กลุ่มเกษตรกรหอมสะแกกรัง จ.อุทัยธานี

เนื้อหา*

ส้มซ่า (Citrus aurantium) เป็นผลไม้พื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานี แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีรสชาติขมจากน้ำมันหอมระเหยในเปลือก และผลผลิตมักถูกจำกัดด้วยฤดูกาล โครงการนี้จึงมุ่งพัฒนานวัตกรรม “ไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตท้องถิ่น และยกระดับไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์

ขั้นตอนดำเนินการ
• ศึกษาวิธีการสกัดน้ำส้มซ่าโดยไม่ให้มีน้ำมันหอมระเหยปนเปื้อน
• พัฒนาสูตรไซรัป 2 สูตร และปรับปรุงจนได้ 3 สูตรต้นแบบ
• ทดสอบทางประสาทสัมผัสกับผู้บริโภค 107 คน เลือกสูตรที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
• ปรับปรุงเพิ่มเติมจนได้ สูตรสมบูรณ์ พร้อมยื่นขอเลข อย. และฉลากโภชนาการ
• ออกแบบบรรจุภัณฑ์และฉลากเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาด
• ทดลองต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น เครื่องดื่ม กาแฟ เบเกอรี่ หมี่กรอบ และน้ำสลัด

ผลลัพธ์และประโยชน์
• ได้ผลิตภัณฑ์ ไซรัปส้มซ่าเข้มข้น ที่พร้อมสู่ตลาด
• เป็นตัวอย่างการสร้างนวัตกรรมจากภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่น
• สร้างรายได้เสริมและแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกร/ผู้ประกอบการท้องถิ่น
• เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากกับการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Startup/SME)
• ตอบโจทย์เศรษฐกิจ BCG และเป้าหมาย SDGs ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs12

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

12.2, 12.4, 12.5

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs8,9,3

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

8.3, 9.5, 3.4
Links ข้อมูลเพิ่มเติม *  
https://www.facebook.com/share/p/1CTBShmogU/

https://www.facebook.com/share/p/1B9vjdpxiJ/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,4

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. เกษตรกรผู้ปลูกส้มซ่าในจังหวัดอุทัยธานี
3. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่น เช่น สำนักงานเกษตร, ภาคธุรกิจ SME

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“จากผลไม้พื้นถิ่นสู่นวัตกรรมไซรัปน้ำส้มซ่าเข้มข้น”
“ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนด้วยพลังงานวิจัยและผู้ประกอบการ”
“สินค้านวัตกรรม BCG ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

12.2.1, 12.4.1, 12.5.1, 8.3.1, 9.5.1

การพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่สู่มาตรฐาน GFM: ยกระดับคุณภาพไข่และระบบการผลิตสู่ความยั่งยืน

MU-SDGs Case Study*

การพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่สู่มาตรฐาน GFM: ยกระดับคุณภาพไข่และระบบการผลิตสู่ความยั่งยืน

ผู้ดำเนินการหลัก*

นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานหลัก

ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ดำเนินการร่วม

1. นายสันติ สะสีแสง
2. นายสาธิต จันทร์เขียว
3. นายสุชาติ แท่นกระโทก
4. นางรัชนี คุ้มบัว
5. นางสาวชุติภากาญจน์ ประจันทร์
6. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร

ส่วนงานร่วม

1. งานกายภาพและสิ่งแวดล้อม
2. งานอำนวยการกลาง
3. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

เนื้อหา*

โครงการวิจัยและพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่นี้มีจุดเริ่มจากปัญหาโรงเรือนเดิมที่สร้างจากไม้ ปูน และสังกะสี ซึ่งเสื่อมสภาพ ถูกปลวก หนู และสุนัขจรจัดทำลาย ระบายอากาศไม่ดี อุณหภูมิสูงถึง 35–38 °C ในฤดูร้อนและชื้นในฤดูฝน ทำให้ไก่เครียด มีปัญหาสุขภาพ และผลผลิตต่ำกว่ามาตรฐาน ขาดมาตรการสุขาภิบาลและ Biosecurity ที่เข้มงวด ทีมงานจึงดำเนินการพัฒนาโรงเรือนใหม่ โดยใช้แนวทางตามมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 6909(G)-2562 (GAP ฟาร์มไก่ไข่) และมาตรฐาน Good Farm Management (GFM) ของกรมปศุสัตว์ ใช้กระบวนการ PDCA (Plan–Do–Check–Act) ในการปรับปรุงโครงสร้าง ออกแบบระบบระบายอากาศ แสงสว่าง การให้อาหารและน้ำอัตโนมัติ รวมถึงการจัดการมูลสัตว์เพื่อลดกลิ่นและแมลง

ผลการดำเนินงาน
• ภายใน 60 วันแรก โรงเรือนใหม่ให้ผลผลิตไข่รวม 5,202 ฟอง มากกว่าโรงเรือนเก่า (4,900 ฟอง)
• สัดส่วนไข่เบอร์มาตรฐาน (เบอร์ 0–3) เพิ่มขึ้นจาก 51.8% เป็น 59.7% ของผลผลิตทั้งหมด
• ลดสัดส่วนไข่เบอร์เล็ก (เบอร์ 5) ลงกว่า 34%
• สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในเกณฑ์ 25–30 °C และลดกลิ่น/แมลงรบกวนได้กว่า 50%
• โรงเรือนใหม่ป้องกันสัตว์พาหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผ่านการรับรองมาตรฐาน GFM ในปีแรก

ประโยชน์
• ยกระดับคุณภาพผลผลิตไข่ไก่ เพิ่มความปลอดภัยทางอาหาร
• เป็นต้นแบบการเรียนการสอนและวิจัยด้านการจัดการฟาร์มมาตรฐาน
• ขยายผลสู่ชุมชนและเกษตรกรรายย่อย สามารถนำแบบอย่างไปปรับใช้จริง
• ลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมจากกลิ่น มูลสัตว์ และการปนเปื้อน

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs2

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

2.3, 2.4

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs3,12,7,13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

3.9, 12.4, 12.5, 7.2, 13.2
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
https://www.facebook.com/share/p/1724u7uNap/
https://www.facebook.com/share/p/1ATCjvR6Q6/
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,4

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. งานกายภาพและสิ่งแวดล้อม, งานอำนวยการกลาง, งานวิชาการและหลักสูตร, หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
3. กรมปศุสัตว์ (ผู้ตรวจประเมินมาตรฐาน GFM)
4. เกษตรกรและผู้สนใจที่เข้าร่วมศึกษาดูงาน

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“ยกระดับฟาร์มไก่ไข่สู่มาตรฐาน GFM”
“เพิ่มคุณภาพไข่ สร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ”
“ต้นแบบการเรียนรู้และการผลิตที่ยั่งยืนของมหิดล”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

2.3.1, 2.4.1, 3.9.1, 12.4.1, 12.5.1, 7.2.1

การพัฒนาทรายแมวย่อยสลายได้จากผักตบชวา: จากวัชพืชน้ำสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

MU-SDGs Case Study*

 การพัฒนาทรายแมวย่อยสลายได้จากผักตบชวา: จากวัชพืชน้ำสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. ผศ.ดร. ปัณฑารีย์ แต้ประยูร
2. นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานหลัก

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม 

ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ 

ผู้ดำเนินการร่วม

 

ส่วนงานร่วม

 

เนื้อหา*

ผักตบชวา (Eichhornia crassipes) เป็นวัชพืชน้ำที่แพร่กระจายรวดเร็ว สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ซึ่งมีปริมาณผักตบชวากว่า 30% ของพื้นที่ผิวน้ำ ทำให้เกิดการตื้นเขิน ลดออกซิเจนในน้ำ และส่งผลกระทบต่อการประมงและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แต่ละปีรัฐต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการกำจัด ในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้ทรายแมวเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์ที่ขยายตัว โดยทรายแมวเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่ผลิตจากดินเหนียวเบนโทไนต์และวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งไม่สามารถย่อยสลายได้ง่ายและสร้างขยะจำนวนมาก

โครงการนี้จึงพัฒนานวัตกรรม “ทรายแมวย่อยสลายได้จากผักตบชวา” โดยทดลองสูตรต้นแบบ 5 สูตร (T1–T5) เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ (T6) พบว่าสูตร T5 มีความสามารถดูดซับน้ำสูงสุด (64.23±2.31%) ดีกว่าผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ (47.42±1.00%) และมีความแข็งแรงเชิงโครงสร้างสูงกว่า แม้จะมีข้อจำกัดด้านการจับตัวเป็นก้อนและอัตราการแห้งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม

ผลลัพธ์และประโยชน์
● แสดงศักยภาพของการใช้ผักตบชวาเป็นวัตถุดิบทรายแมว ลดปัญหาวัชพืชน้ำและสร้างมูลค่าเพิ่ม
● สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ BCG Economy
● สร้างผลลัพธ์เชิงวิชาการ ผลงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ ASEAN Journal of Scientific and Technological Reports (2025)
● ถูกต่อยอดเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนธรรมโชติศึกษาลัย (“แมวแฮปปี้ โลกเฮลตี้”)
● เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างจิตสำนึกการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนรอบบึงบอระเพ็ด

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs12

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

12.4, 12.5

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs6,13,15

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

15.1, 15.8, 6.3, 13.2
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 
งานวิจัยตีพิมพ์: [ASEAN Journal of Scientific and Technological Reports, 2025]
 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,4

Partners/Stakeholders*

1. ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ ม.มหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์
2. หน่วยวิจัยการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
3. ชุมชนรอบบึงบอระเพ็ด
4. โรงเรียนธรรมโชติศึกษาลัย (ผู้ต่อยอดโครงงานเยาวชน)

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*


a = ผักตบชวา b = การขึ้นรูปทรายแมวครั้งที่ 1 c = ต้นแบบทรายแมวก่อนการปรับปรุง d-f = ทดสอบการดูดซับน้ำแต่ละสูตร

Key Message*

“จากวัชพืชน้ำผักตบชวา สู่ทรายแมวย่อยสลายได้”
“นวัตกรรมรักษ์โลก ลดปัญหาขยะ และสร้างมูลค่าใหม่”
“มหิดลขับเคลื่อนการวิจัยสู่ SDGs ด้วยพลังวิชาการและชุมชน”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

12.4.1, 12.5.1, 15.1.1, 15.8.1, 6.3.1

ให้ความรู้แก่สังคม ชุมชนและประชาสัมพันธ์วิทยาเขตนครสวรรค์ผ่านสื่อที่หลากหลาย

MU-SDGs Case Study*

ให้ความรู้แก่สังคม ชุมชนและประชาสัมพันธ์วิทยาเขตนครสวรรค์ผ่านสื่อที่หลากหลาย

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. ดร.ธนากร เที่ยงน้อย 
2. ดร.เปล่งสุรีย์ เที่ยงน้อย 

ส่วนงานหลัก

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล 

ผู้ดำเนินการร่วม

 

ส่วนงานร่วม

สถานีวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง

เนื้อหา*

   โครงการให้ความรู้แก่สังคม ชุมชนและประชาสัมพันธ์วิทยาเขตนครสวรรค์ผ่านสื่อที่หลากหลาย ประจำปีงบประมาณ 2568 ดำเนินการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นการปรับความรู้ให้เท่าทันอยู่เสมอ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คนสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสม ผู้ที่รับประสบการณ์เรียนรู้ทั้งที่เป็นแบบทางการ (Formal Learning) และไม่เป็นทางการหรือการเรียนรู้ตามอัธยาศัย (Informal Learning) เพื่อการมีชีวิตอยู่รอด สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขตลอดช่วงชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลในยุทธศาสตร์ที่ 2 Innovative Education and Authentic Learning เสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์สำหรับบุคคลทั่วไปโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานหรือกลุ่มผู้สูงอายุ โครงการนี้ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมมือกับสถานีวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ (FM 94.25 MHz) ซึ่งเป็นสถานีวิทยุที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในพื้นที่ร่วมกันดำเนินโครงการ โดยจัดรายการ “ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์” ในช่วงเวลา 14.00-15.00 น. ทุกวันพุธ ตลอดปีงบประมาณ 2568 โดยเนื้อหาหลักของรายการจะประกอบด้วย

   1.สภาวะดินฟ้าอากาศ ในระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ เพื่อรายงานสภาวะดินฟ้าอากาศ ปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชื้น ฝน พายุ ฯลฯ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การพยากรณ์อากาศและทำความเข้าใจว่าสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อมนุษย์และโลกอย่างไร เพื่อให้ผู้รับฟังเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสภาพอากาศ

    2.อาหารและสุขภาพ เพื่อรายงานสถานการณ์โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ การป้องกันโรค การดูแลสุขภาพร่างกายของคนในครอบครัว และประโยชน์จากอาหารประเภทต่าง ๆ 

    3.เตือนภัยพี่น้องเกษตรกร เพื่อรายงานสถานการณ์ทางการเกษตร การระบาดของโรคและแมลงทางการเกษตร การป้องกันกำจัดโรคและแมลงทางการเกษตร การตลาดการเกษตร

   4.ประชาสัมพันธ์ข่าว ประกาศ หลักสูตรการเรียนของ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

   นอกจากนั้นภายใต้โครงการนี้ยังได้จัดทำสื่อเพื่อเพิ่มช่องทางการบริการวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้มากยิ่งขึ้นโดยเชิญบุคลากรที่เกี่ยวข้องมาร่วมเป็นวิทยากรในรายการ Podcast ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ .ในประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย เช่น EP การตลาดสินค้าเกษตรยุคปัจจุบัน ทำอย่างไรให้โดนใจผู้บริโภค เป็นต้น

 
 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs4

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

4.4,4.5,4.7

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs12,13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

12.2,12.3,13.1,13.3
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,3

Partners/Stakeholders*

1. สถานีวิทยุชุมชนตำบลเขาทอง
2. นักศึกษาหลักสูตรเกษตรยั่งยืนเพื่อสุขภาพและการประกอบการ

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“การเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning)”
“การเรียนรู้ตามอัธยาศัย (Informal Learning)”
“ม.มหิดลส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาโดยไม่เลือกปฏิบัติทั้งทางตรงหรือทางอ้อม”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

12.4.1, 12.5.1, 15.1.1, 15.8.1, 6.3.1

ตู้กับข้าวยั่งยืน เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาเครือข่ายและการจัดชุมชนและรายวิชาระบบการทำฟาร์มเกษตรยั่งยืน

MU-SDGs Case Study*

ตู้กับข้าวยั่งยืน เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาเครือข่ายและการจัดชุมชนและรายวิชาระบบการทำฟาร์มเกษตรยั่งยืน

ผู้ดำเนินการหลัก*

1. ดร.ธนากร เที่ยงน้อย 
2. ดร.เปล่งสุรีย์ เที่ยงน้อย 

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล 

ผู้ดำเนินการร่วม

นายธนากร จันหมะกสิต

ส่วนงานร่วม

1.นักศึกษาหลักสูตรเกษตรยั่งยืนเพื่อสุขภาพและการประกอบการ
2.ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

เนื้อหา*

โครงการตู้กับข้าวยั่งยืน เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาเครือข่ายและการจัดชุมชนและรายวิชาระบบการทำฟาร์มเกษตรยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยใช้พื้นที่ประมาณ 1 งานหรือ 100 ตารางเมตรของศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการเพื่อการสร้างประสบการณ์และองค์ความรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง (Up skill) ให้กับนักศึกษา ทั้งด้านการผลิตผักไฮโดรโปนิกส์และการทำการเกษตรผสมผสานในพื้นที่จำกัดเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติและยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรภายในโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้บริโภคผักและผลผลิตเกษตรฟรี หรือจำหน่ายในราคาย่อมเยาหรืออีกด้วย   

การทำการเกษตรทั้งการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่จำกัดมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการขยายตัวของสังคมเมืองทำให้มีพื้นที่ทำการเกษตรลดลง ในขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของประชาการส่งผลต่อปริมาณความต้องการอาหารที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการได้ลงมือทำการเกษตรในพื้นที่จำกัดจะเป็นการส่งเสริมให้นักศึกษาและผู้ที่สนใจจะได้รับประโยชน์ดังนี้

    1.สามารถวางแผน เห็นตัวอย่าง และลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างสวนเกษตรในพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดได้จริง

    2.มีอาหารสำหรับแจกจ่าย แบ่งปันให้แก่นักศึกษา บุคลากรภายในโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้บริโภค

    3.เป็นพื้นที่ตัวอย่างการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนในพื้นที่จำกัดสำหรับผู้ที่สนใจทั่วไป   

 

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs2

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

2.3,2.4,2.5,2.a 

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs11
SDGs12

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

11.7,11.a,12.3,12.5,12.8,12.a
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

https://www.facebook.com/profile.php?id=61576946682822&sk=about

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 2,3

Partners/Stakeholders*

1.  ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล

2.  นักศึกษาหลักสูตรเกษตรยั่งยืนเพื่อสุขภาพและการประกอบการ

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

“ตู้กับข้าวยั่งยืน”
“การเกษตรอย่างยั่งยืนในพื้นที่จำกัด”
“Tiny Food Factory”

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

2.4.1, 2.a.2, 11.3.1, 12.3.1, 12.5.1

การขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด ปี2568

MU-SDGs Case Study*

การขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด ปี 2568

ผู้ดำเนินการหลัก*

ดร.ณพล อนุตตรังกูร

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

ผู้ดำเนินการร่วม

นายยุทธิชัย โฮ้ไทย
นางสาววิมลรัตน์ อัตถบูรณ์
นายธนากร จันหมะกสิต
นางชุติภากาญจน์ ประจันทร์

ส่วนงานร่วม

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

เนื้อหา*

1. ความสำคัญ
“บึงบอระเพ็ด” เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และเป็นบึงน้ำจืดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทางด้านพรรณพืช สัตว์น้ำ และสัตว์ป่า โดยบึงบอระเพ็ดเป็นบึงที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ โดยพระบรมราชานุญาติของรัชกาลที่ ๗ ให้ดำเนินการก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำ ซึ่งก่อนมีการก่อสร้างฝายเพื่อสร้างบึงมีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่บึงอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ชาวบ้านได้อพยพขึ้นมาอยู่บริเวณขอบบึง ต่อมามีการบุกรุกพื้นที่เข้ามาใช้ประโยชน์หลายด้าน ทำให้บึงบอระเพ็ดมีสารพัดปัญหาที่ซ้อนทับซับซ้อนหลายด้าน สืบเนื่องจากบึงบอระเพ็ดเป็นที่ราชพัสดุที่กรมประมงขอใช้พื้นที่เพื่อบำรุงพันธุ์สัตว์น้ำในปี ๒๔๖๙ จำนวน ๑๓๒,๗๓๗ ไร่ ๕๖ ตารางวา ครอบคลุมพื้นที่ใน 10 ตำบล ได้แก่ ตำบลแควใหญ่ ตำบลเกรียงไกร ตำบลหนองปลิง ตำบลทับกฤช ตำบลพนมเศษ ตำบลวังมหากร ตำบลพระนอน ตำบลกลางแดด ตำบลนครสวรรค์ออก และตำบลพนมรอก ต่อมาได้มีการประกาศเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ดในพื้นที่ในปี ๒๕๑๘ จำนวน ๖๖,๒๕๐ ไร่ ทำให้มีกฎหมายที่ใช้ซ้อนทับกันถึง ๓ ฉบับ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑๓ หน่วยงาน และนอกจากนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ในเขตบึงบอระเพ็ดจำนวน ๕,๖๘๔ ครัวเรือน 

การใช้น้ำในบึงบอระเพ็ด พบการใช้ประโยชน์ในการทำประมง การดึงน้ำไปใช้ทำการเกษตรกรรม การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การท่องเที่ยว รวมถึงน้ำอุปโภคบริโภค แต่เนื่องจากสภาพบึงบอระเพ็ดมีสภาพคล้ายจานข้าวทำให้เก็บน้ำไว้ได้ไม่มาก ทำให้มีการแย่งใช้ทรัพยากรกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงข้าวราคาดีมีการดึงน้ำไปทำนาย้อนกลับขึ้นที่สูงด้วยระยะทางกว่า ๓๐ กิโลเมตร จนเกิดข้อพิพาทในการแย่งน้ำระหว่างชาวนาและคนหาปลา รวมถึงระหว่างชาวนาด้วยกันเอง จนทำให้ฤดูแล้งเกือบทุกปีจะมีน้ำดิบไม่เพียงพอสำหรับการทำประปาหมู่บ้าน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในบึงบอระเพ็ดไม่มีน้ำอุปโภค รวมทั้งระบบสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมด้วย ในการนี้ภาครัฐได้มีการแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยการขุดลอกตะกอนดิน ซึ่งไม่เพียงพอต่อตื้นเขินในพื้นที่ชุ่มน้ำ เนื่องจากตะกอนดินที่ไหลจากพื้นที่ต้นน้ำ การทับถมของวัชพืช และการปลดปล่อยน้ำจากการไถพรวนของนาข้าวรอบบึงบอระเพ็ด ซึ่งหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสมจะทำให้บึงบอระเพ็ดตื้นเขินและหมดสภาพความเป็นบึงได้ กรมทรัพยากรน้ำได้มีระบบสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านเข้าสู่บึงบอระเพ็ดเพื่อรักษาระบบนิเวศบึงบอระเพ็ด ซึ่งผลที่เกิดขึ้นพบว่าปัญหาการระบายน้ำในคลองและมีชาวนาบริเวณคลองส่งน้ำสู่บึงสูบน้ำไปใช้ทำการเกษตรส่งผลให้น้ำไม่สามารถลงสู่บึงบอระเพ็ดได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นปัญหาการใช้น้ำและการแย่งน้ำที่เกิดขึ้นในบึงบอระเพ็ดจึงเป็นปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในช่วงปี ๒๕๖๐ จนถึงปัจจุบัน หากไม่มีการแก้ไขปัญหาจะส่งผลทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท การขาดความสามัคคีในชุมชน และการระบบสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงจนสู่ขั้นวิกฤติได้

ในการนี้จึงมีความจำเป็นในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำในบึงบอระเพ็ดด้วยการสร้างระบบการบริหารจัดการด้วยการรับฟังความคิดเห็น สร้างการรับรู้ สร้างความร่วมมือ และทำงานร่วมกันในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นนวัตกรรมประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ และสามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ต่อไปได้ โดยคณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้เห็นชอบและรับทราบให้ดำเนินการขับเคลื่อนในวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 เพื่อขอทุนสนับสนุนจากโครงการขับเคลื่อนนโยบายชี้นำสังคมจากมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนต่อไป
 
2. ผลการดำเนินงาน
ผลการดำเนินงานของผลงาน “การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด” แบ่งผลการดำเนินงานทั้งหมด 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำ และช่วงการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) ช่วงการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำได้มีการดำเนินการในปี 2565 ซึ่งมีการสร้างความเข้าใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในบึงบอระเพ็ดที่ประกอบไปด้วยภาครัฐ ภาคประชาชนในแต่ละตำบล และสถาบันการศึกษา ด้วยการรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ด้านทรัพยากรน้ำ และวิเคราะห์ข้อมูลไปนำเสนอให้กับแต่ละเวทีการประชุม พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและความต้องการในแต่ละพื้นที่ไปแบ่งปันให้กับทุกภาคส่วน เพื่อให้รู้เท่ากันและความเข้าใจร่วมกัน มีการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้น้ำรูปแบบความสำคัญทางสถิติซึ่งเป็นข้อมูลทางวิชาการ เพื่อนำเสนอข้อมูลให้กับทุกภาคส่วนและสร้างโมเดลการใช้น้ำร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีการสร้างโครงสร้างในการบริหารจัดการน้ำที่มีแนวทางการดำเนินงานที่ยอมรับร่วมกันทุกภาคส่วน ผลักดันสู่ระดับนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ พร้อมทั้งสร้างระบบการเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบสมาร์ทบึงบอระเพ็ด ดังรูปที่ 1 ผลกระทบของงานในช่วงนี้ พบว่า ทุกภาคส่วนได้มีการสร้างโมเดลการจัดการบึงบอระเพ็ดร่วมกัน ดังรูปที่ 2 เพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำ ดังรูปที่ 3 พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงในการใช้น้ำเข้าสู่แผนการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ดอีกด้วย นอกจากนี้ชุมชนได้มีการรวมกลุ่มกันจดทะเบียนจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำรอบบึงบอระเพ็ดทั้งหมดรวมจำนวน 5 ตำบล ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่าย มีการสร้างการทำงานร่วมกันที่สามารถลดความขัดแย้งได้

2) ช่วงการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ
ปี 2566-2567 เป็นช่วงการขับเคลื่อนระบบการบริหารจัดการน้ำกับโครงสร้างที่มีอยู่ โดยการประชาสัมพันธ์ระบบการบริหารจัดการน้ำ การขึ้นทะเบียนผู้ต้องการใช้น้ำจากบึงบอระเพ็ด การสร้างทีมที่เป็นเอกภาพ และการสร้างการมีส่วนร่วมของเยาวชนในพื้นที่ นอกจากนี้มีการสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำด้วยการพัฒนาศักยภาพของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การพัฒนาศูนย์ข้อมูลบึงบอระเพ็ด และการจัดทำสื่อการเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำ ผลกระทบของงานที่เกิดขึ้นพบว่า มีการจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นที่เชื่อมโยงจากในบึงสู่นอกบึงบอระเพ็ดอีก 4 ตำบล รวมทั้งหมดเป็น 9 ตำบล ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการใช้น้ำ จึงได้มีการขึ้นทะเบียนต้องการใช้น้ำทั้งในเขตและนอกเขตบึงบอระเพ็ดรวมจำนวน 3,723 ราย 5,011 แปลง รวมขนาดเนื้อที่ 69,871 ไร่ ศูนย์ข้อมูลบึงบอระเพ็ดได้ใช้งานจริง โดยมีการสนับสนุนข้อมูลให้กับคณะกรรมการชุดต่างๆ นอกจากนี้คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มาหนุนเสริมการทำงานให้กับเครือข่ายบึงบอระเพ็ด ด้วยการสร้างระบบ Bueng Boraphet – Water Image Downloader ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายดาวเทียมได้อย่างเต็มศักยภาพ และมีคนเข้ามาดูงานแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดมากกว่า 200 คน ในการนี้ตัวชี้วัดที่สำคัญเป็นเรื่องความขัดแย้งที่ลดลงจนเป็นศูนย์ในปี 2566-2567 และคณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด ได้มีการรับรองเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำ 4 ระดับ ดังรูปที่ 4 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจในการบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วมอีกด้วย นอกจากนี้คณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ครั้งที่1/2567 ได้รับรอง “ระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ขับเคลื่อนร่วมกันอย่างเป็นทางการและยั่งยืนต่อไป 

เครือข่ายบึงบอระเพ็ดได้ส่งประกวดนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย ประจำปี 2567 ของรัฐสภา ผลงานประเภทชุมชน องค์กร โดยส่งผลงานเรื่อง “การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด” ในนามคณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด ซึ่งทำให้ทุกภาคส่วนรู้สึกเป็นเจ้าของผลงานร่วมกันทั้งในระดับชุมชนและระดับจังหวัด การแข่งขันได้มีการคัดเลือกรอบเอกสาร รอบนำเสนอผลงานผ่านระบบออนไลน์ และออกบูทนำเสนอคณะกรรมการที่รัฐสภา ผลปรากฏว่าผลงานนี้ได้รับรางวัลระดับ “ดีมาก” ซึ่งได้รับโล่รางวัลกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2567 ณ รัฐสภา 

ระยะถัดไปช่วงปี 2567-2568 ได้ต่อยอดจากการบริหารจัดการน้ำสู่การพัฒนาอาชีพของประชาชนในพื้นที่ โดยการปรับวิถีการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการทำนาเปียกสลับแห้งที่เป็นนาที่ใช้น้ำน้อยและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการทำปุ๋ยจากวัชพืชน้ำในบึงบอระเพ็ดที่ส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับชุมชนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการน้ำท่วมวัชพืชอีกด้วย
การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด ทั้งการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำ และการขับเคลื่อนตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นนวัตกรรมประชาธิปไตยที่ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมทุกกระบวนการ พร้อมทั้งมีการสร้างความร่วมมือ การรับฟังความคิดเห็น การทำงานร่วมกัน เรียนรู้ร่วมกัน จนถึงการขับเคลื่อนส่งต่อไปในระดับนโยบายผ่านกฎหมายต่างๆ ได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเป็นแนวทางที่ทุกภาคร่วมยอมรับร่วมกันแล้ว ในการนี้กระบวนการจะขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน และสามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆได้อีกด้วย ในการนี้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้ลงพื้นที่ถอดบทเรียนการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ “บึงบอระเพ็ด” ในการปรับตัวต่อการ

เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำไปสู่ต้นแบบของการปรับตัวด้านการบริหารจัดการน้ำ

ในปี 2568 เครือข่ายบึงบอระเพ็ดได้รับการยอมรับในระดับที่สูงขึ้น ด้วยการได้รับคัดเลือกเป็นคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยาจำนวน 2 ท่าน ได้แก่ ประธานองค์กรผู้ใช้น้ำตำบลทับกฤช ได้รับคัดเลือกเป็นคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคเกษตรกรรม รวมทั้งบุคลากรของโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยา และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐสภา

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs6

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

6.4, 6.6, 6.b

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs13,14,15,17

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

13.1, 14.2.1, 15.1, 17.1

Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์กล่าวขอบคุณมหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.facebook.com/MUNAkhonsawan/videos/270841642755512

ม.มหิดล ร่วมนำเสนอข้อมูลให้กับท่านราชเลขานุการในสพระองค์
https://na.mahidol.ac.th/th/2024/13291

การออกสื่อสาธารณะ
https://www.thaipbs.or.th/news/content/337926?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR1Eg4EvBDNThdqRm-hLmX42p3aEBWEXsJzCWRw2Vub4EgK9PRyvhEwT_eo_aem_AQw-VZjwG00nG0FP4VCvKvjZybYGsCzWtnQTDRM8DiyFoO_jVCDqbCn8f2SFumNN0HbcYf8frP3uUC6yIub7kUaW

การบริการวิชาการให้กับเครือข่าย
https://na.mahidol.ac.th/th/2024/12986

การประกวดนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย รัฐสภา
https://www.youtube.com/watch?v=DtmKLv-Gvqc

ถอดบทเรียนการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ “บึงบอระเพ็ด” ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE)
https://tei.or.th/th/activities_us_detail.php?eid=3003

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 3

Partners/Stakeholders*

จังหวัดนครสวรรค์
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด
ส่วนเครื่องกลสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 2 (กรมทรัพยากรน้ำ)
โครงการชลประทานนครสวรรค์
ประมงจังหวัดนครสวรรค์
ธนารักษ์พื้นที่นครสวรรค์
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 11 ตำบล
เครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำ 9 ตำบล

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

 

Key Message*

การเป็นที่พึ่งให้กับเครือข่ายเป็นภาคกิจหลักของสถาบันการศึกษา ที่ต้องร่วมเรียนรู้ สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดเครือข่ายที่เข้มแข็ง และยั่งยืนตลอดไป

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

6.5.5

โครงการการปรับวิถีการเกษตรในพื้นชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

MU-SDGs Case Study*

โครงการการปรับวิถีการเกษตรในพื้นชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ผู้ดำเนินการหลัก*

ดร.ณพล อนุตตรังกูร

ส่วนงานหลัก*

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

ผู้ดำเนินการร่วม

ดร.ปิยะเทพ อาวะกุล
ดร.พรพิรัตน์ คันธธาศิริ
ดร.ปัณฑารีย์ แต้ประยูร
นายธนากร จันหมะกสิต
นางสาววิมลรัตน์ อัตถบูรณ์

ส่วนงานร่วม

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์

เนื้อหา*

ความสำคัญ
บึงบอระเพ็ดเป็นบึงน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ สภาพภูมิประเทศของบึงบอระเพ็ดเป็นพื้นที่ลุ่มที่มีความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งมีทั้งพืชน้ำ สัตว์น้ำ และสัตว์ป่า โดยเฉพาะกลุ่มนกที่มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ ส่วนชุมชนโดยรอบได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำด้วยการทำการประมง และใช้น้ำเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาที่มีมากที่สุดจำนวน 79,858 ไร่ ซึ่งเป็นรูปแบบนาปรังที่ใช้น้ำมาก ทำให้ปริมาณน้ำบึงบอระเพ็ดลดลงอย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ชุมชนเกิดความขัดแย้งในการแย่งน้ำไปทำนา นอกจากนี้การทำนาปรังส่งผลให้เกิดการผลิตก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย ส่วนพืชน้ำที่เจริญเติบโตหนีน้ำไม่ทันในช่วงฤดูน้ำหลาก จะทำให้เกิดหญ้าเน่าจากกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเช่นกัน ในการนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ชุ่มน้ำมีการผลิตก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นการทำนาปรังและน้ำท่วมวัชพืชในช่วงฤดูน้ำหลาก ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้มีแนวคิดในการลดการผลิตก๊าซเรือนกระจกด้วยการปรับวิธีการทำนาจากนาปรังเป็นนาเปียกสลับแห้งที่ใช้น้ำน้อยและปลดปล่อยก๊าซมีเทนน้อยกว่านาปรังหลายเท่า และส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้การส่งเสริมให้นำวัชพืชน้ำจากบึงบอระเพ็ดมาใช้ประโยชน์แปรรูปเป็นปุ๋ยที่สร้างรายได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในตำบลพระนอน มีการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตปุ๋ย ซึ่งรูปแบบที่จะออกมาขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่ การดำเนินงานทั้งหมดสอดคล้องกับนโยบายของ COP28 และบึงบอระเพ็ด sandbox ที่ตั้งเป้าให้เกิด Net Zero ในปี 2573 ต่อไป

วัตถุประสงค์

1) เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ในการปรับแนวคิดของประชาชนสู่การปรับวิถีการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด

2) เพื่อสร้างแหล่งเรียนรู้ในการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด

3) เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชน้ำและการเกษตรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความคืบหน้าในการดำเนินการ

โครงการอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการ โดยมีการให้ความรู้กับประชาชนในพื้นที่ตำบลวังมหากรและตำบลพระนอน และมีการสอบถามความต้องการในการขับเคลื่อน (Need Assessment) ในการทำนาและการจัดการวัชพืชน้ำบึงบอระเพ็ด มีการดูงานเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และการทดลองการทำนาเปียกสลับแห้งในพื้นที่บึงบอระเพ็ดจำนวน 100 ไร่ อีกด้วย 

ผลผลิตของโครงการ
1) การฝึกอบรมที่ครอบคลุมเนื้อหาเทคโนโลยีสีเขียว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ SDGs BCG และการปรับตัวในการทำการเกษตรในพื้นที่ชุ่มน้ำ
2) พื้นที่ต้นแบบในการทำนาเปียกสลับแห้ง และจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในการทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในตำบลวังมหากร อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์
3) พื้นที่ต้นแบบในการผลิตปุ๋ยจากพืชน้ำบึงบอระเพ็ด และการจัดตั้งกลุ่มผลิตปุ๋ยในตำบลพระนอน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
4) ผลการคำนวณอัตราผลตอบแทนเชิงสังคม (SROI) ของโครงการ
5) คู่มือการขับเคลื่อนเชิงนโยบายสำหรับหน่วยงานในพื้นที่
 
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1) ประชาชนในพื้นที่ชุ่มน้ำมีความรู้ ความเข้าใจ และมีแนวคิดที่เปลี่ยนไปในการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด
2) พื้นที่ต้นแบบในการทำนาเปียกสลับแห้งและการผลิตปุ๋ยจากพืชน้ำบึงบอระเพ็ด เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนอื่นๆ และขยายผลต่อในอนาคตบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงและพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆ
3) ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมกิจกรรม
4) คู่มือการขับเคลื่อนเชิงนโยบายจะเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนในพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆที่มีบริบทคล้ายกับบึงบอระเพ็ด
5) ธนารักษ์พื้นที่นครสวรรค์สามารถกำหนดแนวทางการทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในสัญญาเช่าของประชาชนบึงบอระเพ็ดในอนาคตต่อไป
 
ผลการดำเนินงาน
1) ชุมชนได้มีการเรียนรู้จากการทำกิจกรรมที่ช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการนำวัชพืชน้ำมาหมักเป็นปุ๋ยในพื้นที่ตำบลพระนอน และการทำนาเปียกสลับแห้งจำนวน 100 ไร่ ในพื้นที่ตำบลวังมหากรและตำบลทับกฤช 
2) ชุมชนมีการจัดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจำนวน 2 ตำบล ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบึงบอระเพ็ดโลว์คาร์บอนตำบลวังมหากร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบึงบอระเพ็ดโลว์คาร์บอนตำบลพระนอน  และเกิดแบรนด์ “บึงบอระเพ็ดโลว์คาร์บอน” ดังรูปที่ 1
3) เกิดผลิตถัณฑ์ต้นแบบบึงบอระเพ็ดจำนวน 2 ชื้น ได้แก่ วัสดุปรับปรุงดินจากวัชพืชน้ำ และข้าวจากนาเปียกสลับแห้ง 
4) มีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ชุมชนต้นแบบในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด ณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับคนในชุมชนและผู้ที่สนใจ
 

สิ่งที่ได้ได้ต่อยอดจากโครงการ

1) จังหวัดนครสวรรค์ได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการทำนาเปียกสลับแห้ง ดังคำสั่งจังหวัดนครสวรรค์หมายเลข 03367/2567 เรื่อง “แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาการทำการเกษตรด้วยการทำนาเปียกสลับแห้งในพื้นที่ต้นแบบบึงบอระเพ็ด และพื้นที่อื่นๆ จังหวัดนครสวรรค์” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของการทำนาเปียกสลับแห้ง   

2) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ดได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ภายใต้โครงการ “โครงการส่งเสริมการปรับวิถีการเกษตรบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์” เพื่อส่งเสริมการทำนาเปียกสลับแห้งด้วยการปรับพื้นที่และการส่งเสริมการขยายตัวเพิ่มปีละ 800 ไร่ภายใน 3 ปี

3) เครือข่ายบึงบอระเพ็ดได้มีการเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เพื่อผลักดันการปรับพื้นที่การเกษตรของบึงบอระเพ็ดให้เหมาะสมกับการทำนาเปียกสลับแห้ง โดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (SCG) และบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เข้ามาสนับสนุนในการเชื่อมโยงเครือข่ายกับระดับนโยบายและสนับสนุนเครื่องจักรในการทดลองใช้เครื่องมือเพื่อปรับระดับพื้นที่เพื่อส่งเสริมการทำนาเปียกสลับแห้งในแปลงทดลองของชุมชนที่ตำบลพระนอน

4) เกิดการเชื่อมโยงด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เพื่อสนับสนุนองค์ความรู้และเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ให้กับเครือข่ายบึงบอระเพ็ดได้นำไปปรับปรุงพันธุ์ข้าวในบึงบอระเพ็ด

                      รูปที่ 1 ขั้นตอนการดำเนินโครงการ

SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม*

SDGs 13

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG หลัก*

13

SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

SDGs 2,6,17

เป้าประสงค์ย่อยใน SDG อื่นๆ

2.3, 6.3, 6.4, 6.5, 17.1
Links ข้อมูลเพิ่มเติม * 

ม.มหิดล นครสวรรค์ ร่วมเครือข่ายชุมชน ชู 3 กลยุทธ์พลิกฟื้นนาข้าวยั่งยืน
https://www.nstda.or.th/sci2pub/3-strategies-to-revive-sustainable-rice-fields/
https://op.mahidol.ac.th/ga/wp-content/uploads/twitter/news-2024-5-2-1.pdf

รายการเคลียร์คัด ชัดเจน:การขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนอาชีพเกษตรกรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมพื้นที่ชุ่มน้ำ
https://www.youtube.com/watch?v=aVkXHnNr-38

บึงบอระเพ็ด ช่วยลดโลกร้อนด้วยการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
https://op.mahidol.ac.th/ga/bueng-boraphet/

VDO: โครงการการปรับวิถีการเกษตรในพื้นชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
https://youtu.be/Ow3Jrap6ePI

VDO: Promoting Eco-Friendly Agricultural Practices in the Bueng Boraphet Wetlands.
https://youtu.be/lcbHgujks9Y

VDO: การเปิดศูนย์เรียนรู้ชุมชนต้นแบบบึงบอระเพ็ดโลว์คาร์บอน
https://youtu.be/VJzAFp8ln-M

 

MU-SDGs Strategy*

ยุทธศาสตร์ที่ 3

Partners/Stakeholders*

มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์
กองวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
จังหวัดนครสวรรค์
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด
หน่วยขุดลอกและกำจัดวัชพืชบึงบอระเพ็ด
ประมงจังหวัดนครสวรรค์
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์
สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครสวรรค์
ส่วนการจัดสรรน้ำที่ 3 นครสวรรค์ (กรมทรัพยากรน้ำ)
องค์การบริหารส่วนตำบลพระนอนและวังมหากร
เครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำบึงบอระเพ็ด
ประชาชนรอบบึงบอระเพ็ด

ภาพประกอบ (3-5 ภาพ)*

Key Message*

การปรับวิถีการเกษตรให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การทำนาเปียกสลับแห้ง
การทำปุ๋ยจากวัชพืชน้ำบึงบอระเพ็ด
การปรับตัวต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

ตัวชี้วัด THE Impact* Rankings ที่สอดคล้อง

13.2